-4-

Preposition

Preposition   (คำบุรพบท)    คือคำที่ใช้เชื่อม  หรือแสดงความสำพันธ์ระหว่างคำต่อคำ  เช่น นามต่อนามกริยากับนามกริยากับสรรพนาม  สรรพนามกับนาม, หรือนามกับสรรพนาม.

Preposition    ในภาษาอังกฤษแบ่งออกเป็น 2 ชนิดคือ.

1.   Preposition   คำเดียว      [Single Preposition].

2.   Preposition    วลี      [Preposition  phrase].

Preposition   คำเดียวที่พบเห็นบ่อยๆและนิยมใช้กันมากมีอยู่  44  คำคือ  in,  on,  at,  under,  to,  from,  of,  off,  since,  for,  near,  around,  inside,  outside,  beneath,  towards,  into,  till,  until,  from…to,  with,  without,  by,  up,  down,  after,  before,  beside,  besides,  against,  through,  across,  along,  above,  over,  behind,  below,  underneath,  during,  between,  among,  from…until,  within,  forwards .

Preposition   คำเดียว

การใช้    in,  at,  on    บุรพบทที่ใช้กับเวลามีหลักดังนี้.

             In:     ใช้บอกเวลาที่เป็นชื่อเดือน, ปี, ฤดูกาล, และส่วนของวัน เช่น  I  like  to  swim  in  the  morning.  ผมชอบว่ายน้ำในเวลาเช้า.

             At  :   ใช้เพื่อบอกเวลาเกี่ยวกับชั่วโมง  ,  noon,  night,  midnight,  midday,  Christmas,  Easter  เพื่อบอกเวลาเฉพาะเจาะจง  เช่น  They  want  home  at  three  o’clock,  พวกเขากลับบ้านเวลา 15.00 .

              On  ใช้เพื่อบอกเวลาที่เป็นวันของสัปดาห์  และวันที่  วันสำคัญทางราชการ และวันสำคัญทางศาสนา  เช่น  on  Sunday,  On  New  Year’s  Day  , On  King’s  Birthday.  etc.

              On  time    แปลว่า  ตรงเวลาพอดี   (ตรงพอดี). เช่น  He  come  on  timeเขามาตรงเวลาพอดี.

            In  time    แปลว่า   ทันเวลา  (ก่อนเวลา, ก่อนกำหนด).   เช่น    The  train  arrived  at  the  station  in  time.  รถไฟมาถึงสถานีทันเวลา(มาถึงก่อนเวลา).

การใช้ at,  in บุรพบทที่ใช้เกี่ยวกับสถานที่มีหลักดังนี้

            at  :  ใช้บอกสถานที่ที่ไม่ใหญ่โตนัก ที่จำกัดแน่นอน  เช่น  at  school,  at  the  hotel….

            in  :  ใช้บอกสถานที่ที่ใหญ่โตก็ได้เช่น   in  Thailand.  หรือใช้บอกสถานที่ที่เจาะจงภายในแห่งใดแห่งหนึ่งไม่ว่าใหญ่หรือโตก็ได้  เช่น   In the house, in  a  country    เป็นต้น.

 

การใช้  During, between, among มีหลักเกณฑ์ดังนี้

                     คำทั้ง  3  แปลว่า “ ระหว่าง”  แต่ใช้ต่างกันดังนี้

             During:   ใช้สำหรับบอกระยะเวลาการกระทำช่วงใดช่วงหนึ่งตามที่ระบุไว้ในประโยค      เช่น           During   visiting  Thailand,   I  had  seen  the  Emerald  Buddha  Temple.        ระหว่างการมาเที่ยวประเทศไทย  ฉันได้ไปชมวัดพระแก้ว เป็นต้น

             Between: ใช้สำหรับครั่นระหว่างของสองอย่าง หรือคนสองคน      เช่น  She  is  standing  between  you  and  me.  หล่อนยืนอยู่ระหว่างคุณและผม  (เมื่อใช้    between     ต้องมี   and   ตามเสมอ).

             Among   : ใช้สำหรับครั่นหรือเชื่อมนาม ที่มีจำนวนตั้งแต่  3  ขึ้นไป   เช่น The  teacher  is standing  among  us  . เป็นต้น   

 

การใช้   in,  on,  by  กับยานพาหนะ

              in  :  ใช้กับยานพาหนะที่มีสภาพปิด  กำบัง  เช่น   in the bus,  in  the  plane…

              on  :  ใช้กับยานพาหนะที่มีสภาพเปิดโล่ง แจ้ง ไม่ปกปิดกำบัง เช่น  on a house,   on a  motor-cycle..

              by  :  ใช้ได้ทั้งปิดและเปิด แต่ต้องไม่มี   Article  นำหน้า  เช่น   by  bus,    by  train

 

การใช้  on,  over,  above  มีหลักดังนี้

                         on  :         ใช้บอกว่าของที่อยู่บนที่ติดอยู่กับอันล่าง.

                         over  :      ใช้บอกว่าของอยู่เหนือหัวพอดี.

                         above  :   ใช้บอกว่าของนั้นอยู่ด้านบน(กว้างๆ).

  

Preposition    วลี

              Preposition  วลี     คือบุรพบทตั้งแต่  2  ตัวขึ้นไปมารวมอยู่ด้วยกัน  และมีความหมายเสมือนเป็นบุรพบทคำเดียว  แบ่งออกเป็น  2  ชนิด คือ

1.  บุรพบทวลีชนิด  2  ตัว  [ two words Preposition].

2.  บุรพบทวลีชนิด  3  ตัว [three  words Preposition].

 

บุรพบทชนิด  2  ตัว ได้แก่บุรพบทต่อไปนี้คือ

according   to  ตาม  ,      instead  of   แทน , แทนที่

because  of      เพราะว่า,     owing to        เนื่องจาก.

 

บุรพบทชนิด  3  ตัวได้แก่บุรพบทต่อไปนี้คือ

in  order  to  :   เพื่อที่จะ   ,   by  means  of   : โดยอาศัย

on  account  of   :  เนื่องจาก  ,  in  spite  of   :   ถึงแม้ว่า

in  front  of   : ข้างหน้า  , in  back  of  :  ข้างหลัง

for  the  sake  of  : เพื่อเห็นแก่ , of  the  point  of  :  เกือบจะ

on  the  point  of   : เกือบจะ  ,   in  consequence  of  :  เนื่องจากว่า

 

               *  หมายเหตุ   ในเรื่องการใช้บุรพบทนี้   ยังมี  กริยาบางตัวที่มีข้อบังคับว่าต้องใช้บุรพบทตัวใดตามหลังอีกด้วย  อย่างเช่น   belong  to  (เป็นของ ) ,  arrive  at  (มาถึงสถานที่เล็กๆ),  ask…. for  (ขอ),  agree  with  (เห็นด้วย ตกลงด้วย),  consist  of  (ประกอบด้วย)  protect  from  (ป้องกันจาก),    believe  in (เชื่อ,มีศรัทธา),  live  on  (กินเป็นอาหาร) ,  make  of  (ทำด้วย), be  afraid of  (กลัว,เกรงกลัว)   เป็นต้น  ซึ่งเราควรค้นคว้าศึกษาไว้ถ้ามีโอกาส.

จบเรื่อง  preposition

 

Tense

Tense   คือรูปแบบ(หรือโครงสร้าง)ของกริยา  ที่แสดงให้เราทราบว่าการกระทำหรือเหตุการณ์นั้นๆเกิดขึ้นเมื่อใด   ซึ่งเรื่อง  tense  นี้เป็นเรื่องสำคัญ  ถ้าเราใช้    tense  ไม่ถูก  เราก็จะสื่อภาษากับเขาไม่ได้  เพราะในประโยคภาษาอังกฤษนั้นจะอยู่ในรูปของ  tense  เสมอ  ซึ่งต่างกับภาษาไทยที่เราจะมีข้อความบอกว่าเกิดขึ้นเมื่อใดมาช่วยเสมอ   แต่ภาษาอังกฤษจะใช้รูป  tense  นี้มาเป็นตัวบอก  ดังนี้การศึกษาเรื่อง  tense  จึงเป็นเรื่องจำเป็น.

Tense  ในภาษาอังกฤษนี้จะแบ่งออกเป็น  3  tense  ใหญ่ๆคือ

               1.    Present   tense        ปัจจุบัน

                               2.     Past   tense             อดีตกาล

                                3.    Future   tense         อนาคตกาล

ในแต่ละ  tense ยังแยกย่อยได้  tense  ละ  4  คือ

             1 .  Simple   tense    ธรรมดา (ง่ายๆตรงๆไม่ซับซ้อน).

                               2.   Continuous  tense    กำลังกระทำอยู่ (กำลังเกิดอยู่)

                               3.  Perfect  tense     สมบูรณ์ (ทำเรียบร้อยแล้ว).

                               4.   Perfect  continuous  tense  สมบูรณ์กำลังกระทำ (ทำเรียบร้อยแล้วและกำลังดำเนินอยู่ด้วย).

โครงสร้างของ  Tense  ทั้ง  12  มีดังนี้

                  [1.1]   S  +  Verb  1  +  ……(บอกความจริงที่เกิดขึ้นง่ายๆตรงๆไม่ซับซ้อน).

[Present]   [1.2]   S  +  is,am,are  + Verb 1 ing   + …(บอกว่าเดี๋ยวนี้กำลังเกิดอะไรอยู่).

                   [1.3]   S  +  has,have  +  Verb  3 +  ….(บอกว่าได้ทำมาแล้วจนถึงปัจจุบัน).

                   [1.4]   S  +  has,have  +  been  +  Verb 1 ing  + …(บอกว่าได้ทำมาแล้วและกำลังทำต่อไปอีก).

 

                [2.1]  S  +  Verb 2  +  …..(บอกเรื่องที่เคยเกิดมาแล้วในอดีต).

[Past]      [2.2]  S  +  was,were  +  Verb 1  +…(บอกเรื่องที่กำลังทำอยู่ในอดีต).

                [2.3]  S  +  had  +  verb 3  +  …(บอกเรื่องที่ทำมาแล้วในอดีตในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง).

                [2.4]  S  +  had  +  been  +  verb 1 ing  + …(บอกเรื่องที่ทำมาแล้วอย่างต่อเนื่องไม่หยุด).

 

                     [3.1]  S  +  will,shall  +  verb 1  +….(บอกเรื่องที่จะเกิดขึ้นในอนาคต).

[Feature]     [3.2]  S  +  will,shall  +  be  +  Verb 1 ing  + ….(บอกว่าอนาคตนั้นๆกำลังทำอะไรอยู่).

                     [3.3]  S  +  will,shall  +  have  +  Verb 3  +…(บอกเรื่องที่จะเกิดหรือสำเร็จในช่วงเวลาใดเวลา

                           -หนึ่ง).

                     [3.4]  S  +  will,shall  +  have  +  been  + verb 1 ing  +.. ..(บอกเรื่องที่จะทำอย่างต่อเนื่องในเวลาใด   

                               - เวลาหนึ่งในอนาคตและจะทำต่อไปเรื่อยข้างหน้า).  

                

หลักการใช้แต่ละ  tense  มีดังนี้

[1.1]   Present  simple  tense    เช่น    He  walks.   เขาเดิน,

1.    ใช้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตามความจริงของธรรมชาติ และคำสุภาษิตคำ พังเพย.     

2.    ใช้กับเหตุการณ์ที่เป็นความจริงในขณะที่พูด  (ก่อนหรือหลังจะไม่จริงก็ตาม).

3.    ใช้กับกริยาที่ทำนานไม่ได้   เช่น  รักเข้าใจ, รู้  เป็นต้น.

4.    ใช้กับการกระทำที่คิดว่าจะเกหิดขึ้นในอนาคตอันใกล้(จะมีคำวิเศษณ์บอกอนาคตร่วมด้วย).

5.    ใช้ในการเล่าสรุปเรื่องต่างๆในอดีต  เช่นนิยาย นิทาน.

6.    ใช้ในประโยคเงื่อนไขในอนาคต    ที่ต้นประโยคจะขึ้นต้นด้วยคำว่า    If    (ถ้า),       unless   (เว้นเสียแต่ว่า),    as  soon  as  (เมื่อ,ขณะที่),    till  (จนกระทั่ง) ,   whenever   (เมื่อไรก็ตาม),    while  (ขณะที่)   เป็นต้น.

7.    ใช้กับเรื่องที่กระทำอย่างสม่ำเสมอ  และมีคำวิเศษณ์บอกเวลาที่สม่ำเสมอร่วมอยู่ด้วย  เช่น  always (เสมอๆ),  often   (บ่อยๆ),    every  day   (ทุกๆวัน)    เป็นต้น.

8.    ใช้ในประโยคที่คล้อยตามที่เป็น  [1.1]  ประโยคตามต้องใช้   [1.1]  ด้วยเสมอ.

                  

[1.2]   Present  continuous  tense   เช่น   He  is  walking.  เขากำลังเดิน.

1.    ใช้ในเหตุการณ์ที่กำลังกระทำอยู่ในขณะที่พูด(ใช้  now ร่วมด้วยก็ได้ โดยใส่ไว้ต้นประโยค, หลังกริยา หรือสุดประโยคก็ได้).

2.    ใช้ในเหตุการณ์ที่กำลังกระทำอยู่ในระยะเวลาอันยาวนาน  เช่น  ในวันนี้ ,ในปีนี้ .

3.    ใช้กับเหตุการณ์ที่ผู้พูดมั่นใจว่าจะต้องเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้  เช่น เร็วๆนี้, พรุ่งนี้.

        *หมายเหตุ   กริยาที่ทำนานไม่ได้  เช่น  รัก ,เข้าใจ, รู้, ชอบ  จะนำมาแต่งใน  Tense  นี้ไม่ได้.

                

[1.3] Present perfect tense เช่น He has walk เขาได้เดินแล้ว.

1.    ใช้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแล้วในอดีต และต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน  และจะมีคำว่า Since  (ตั้งแต่) และ for  (เป็นเวลา) มาใช้ร่วมด้วยเสมอ.

2.    ใช้กับเหตุการณ์ที่ได้เคยทำมาแล้วในอดีต (จะกี่ครั้งก็ได้ หรือจะทำอีกในปัจจุบัน หรือจะทำในอนาคตก็ได้)และจะมีคำว่า  ever  (เคย) ,  never  (ไม่เคย) มาใช้ร่วมด้วย.

3.    ใช้กับเหตุการณ์ที่จบลงแล้วแต่ผู้พูดยังประทับใจอยู่ (ถ้าไม่ประทับใจก็ใช้   Tense

4.    ใช้กับเหตุการณ์ที่เพิ่งจบไปแล้วไม่นาน(ไม่ได้ประทับใจอยู่) ซึ่งจะมีคำเหล่านี้มาใช้ร่วมด้วยเสมอ คือ  Just   (เพิ่งจะ), already  (เรียบร้อยแล้ว), yet  (ยัง), finally  (ในที่สุดเป็นต้น.

 

[1.4] Present  perfect  continuous  tense    เช่น  He  has  been  walking .  เขาได้กำลังเดินแล้ว.

มีหลักการใช้เหมือน  [1.3]  ทุกประการ เพียงแต่ว่าเน้นว่าจะทำต่อไปในอนาคตด้วย    ซึ่ง [1.3] นั้นไม่เน้นว่าได้กระทำอย่างต่อเนื่องหรือไม่  ส่วน [1.4]  นี้เน้นว่ากระทำมาอย่างต่อเนื่องและจะกระทำต่อไปในอนาคตอีกด้วย.

 

[2.1] Past  simple  tense      เช่น  He  walked.  เขาเดินแล้ว.

1.   ใช้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและจบลงแล้วในอดีต   มิได้ต่อเนื่องมาถึงขณะที่พูด และมักมีคำต่อไปนี้มาร่วมด้วยเสมอในประโยค เช่น  Yesterday, year  เป็นต้น.

2.    ใช้กับเหตุการณ์ที่ทำเป็นประจำในอดีตที่ผ่านมาในครั้งนั้นๆ ซึ่งต้องมีคำวิเศษณ์บอกความถี่ (เช่น Always, every  day ) กับคำวิเศษณ์ บอกเวลา (เช่น  yesterday,  last  month )  2  อย่างมาร่วมอยู่ด้วยเสมอ.

3.    ใช้กับเหตุการณ์ที่ได้เคยเกิดขึ้นมาแล้วในอดีต  แต่ปัจจุบันไม่ได้เกิดอยู่ หรือไม่ได้เป็นดั่งในอดีตนั้นแล้ว  ซึ่งจะมีคำว่า  ago  นี้ร่วมอยู่ด้วย.

4.      ใช้ในประโยคที่คล้อยตามที่เป็น [2.1]  ประโยคคล้อยตามก็ต้องเป็น [2.1]  ด้วย.

 

[2.2]   Past continuous  tense   เช่น    He  was  walking .  เขากำลังเดินแล้ว

1.     ใช้กับเหตุการณ์   2   อย่างที่เกิดขึ้นไม่พร้อมกัน  ( 2.2  นี้ไม่นิยมใช้ตามลำพัง - ถ้าเกิดก่อนใช้  2.2   -  ถ้าเกิดทีหลังใช้ 2.1).

2.     ใช้กับเหตุการณ์ที่ไดกระทำติดต่อกันตลอดเวลาที่ได้ระบุไว้ในประโยค  ซึ่งจะมีคำบอกเวลาร่วมอยู่ด้วยในประโยค  เช่น  all  day  yesterday  etc.

3.     ใช้กับเหตุการณ์  2  อย่างที่กำลังทำในเวลาเดียวกัน(ใช้เฉพาะกริยาที่ทำได้นานเท่านั้น  หากเป็นกริยาที่ทำนานไม่ได้ก็ใช้หลักข้อ 1 ) ถ้าแต่งด้วย 2.1  กับ  2.2  จะดูจืดชืด เช่น   He  was  cleaning  the  house  while  I was  cooking  breakfast.

 

[2.3]   Past  perfect  tense    เช่น  He  had walk.  เขาได้เดินแล้ว.

1.    ใช้กับเหตุการณ์  2  อย่างที่เกิดขึ้นไม่พร้อมกันในอดีต  มีหลักการใช้ดังนี้.

เกิดก่อนใช้  2.3  เกิดทีหลังใช้  2.1.

2.  ใช้กับเหตุการณ์หรือการกระทำอันเดียวก็ได้ในอดีต แต่ต้องระบุชั่วโมงและวันให้แน่ชัดไว้ในทุกประโยคด้วยทุกครั้ง  เช่น   She  had  breakfast  at  eight o’ clock  yesterday.

 

[2.4]   past  perfect  continuous  tense    เช่น   He  had  been  walking.

           มีหลักการใช้เหมือนกับ  2.3  ทุกกรณี  เพียงแต่  tense  นี้  ต้องการย้ำถึงความต่อเนื่องของการกระทำที่ว่าได้กระทำต่อเนื่องไปจนถึงการกระทำที่  2  โดยมิได้หยุด  เช่น  When  we  arrive  at  the  meeting ,  the  lecturer  had  been  speaking  for  an  hour  .   เมื่อพวกเราไปถึงที่ประชุม  ผู้บรรยายได้พูดมาแล้วเป็นเวลาชั่วโมง.

 

[3.1]   Future  simple  tense      เช่น   He  will  walk.    เขาจะเดิน.

              ใช้กับเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต  ซึ่งจะมีคำว่า  tomorrow,  to  night,  next  week,  next  month   เป็นต้น  มาร่วมอยู่ด้วย.

           * Shall   ใช้กับ     I ,   we.

             Will    ใช้กับบุรุษที่  2  และนามทั่วๆไป.

             Will,  shall  จะใช้สลับกันในกรณีที่จะให้คำมั่นสัญญา, ข่มขู่บังคับ, ตกลงใจแน่วแน่.

             Will,  shall   ใช้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นโดยธรรมชาติหรือจงใจก็ได้.

             Be  going  to  (จะใช้กับความจงใจของมนุษย์เท่านั้น  ห้ามใช้กับเหตุการณ์ของธรรมชาติและนิยมใช้ในประโยคเงื่อนไข.

 

[3.2]    Future   continuous    tense    เช่น   He  will  be  walking.    เขากำลังจะเดิน.

1.     ใช้ในการบอกกล่าวว่าในอนาคตนั้นกำลังทำอะไรอยู่ (ต้องกำหนดเวลาแน่นอนด้วยเสมอ).

2.     ใช้กับเหตุการณ์  2  อย่างที่จะเกิดขึ้นไม่พร้อมกันในอนาคต  มีกลักการใช้ดังนี้.

               -   เกิดก่อนใช้    3.2      S  +  will  be,  shall  be  +  Verb 1  ing.

                -  เกิดทีหลังใช้   1.1     S  +  Verb  1 .

 

[3.3]   Future   prefect  tens    เช่น  He  will  walked.  เขาจะได้เดินแล้ว.

1.  ใช้กับเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นหรือสำเร็จลงในเวลาใดเวลาหนึ่งในอนาคต  โดยจะมีคำว่า  by  นำหน้ากลุ่มคำที่บอกเวลาด้วย  เช่น   by  tomorrow  ,   by  next  week   เป็นต้น.

2.  ใช้กับเหตุการณ์  2  อย่างที่จะเกิดขึ้นไม่พร้อมกันในอนาคต มีหลักดังนี้.

                 -    เกิดก่อนใช้   3.3      S  +  will, shall  +  have  +  Verb 3.

-    เกิดที่หลังใช้   1.1    S  +  Verb 1 .

 

[3.4]  Future  prefect  continuous  tense เช่น He  will  have  been  walking. เขาจะได้กำลังเดินแล้ว.

ใช้เหมือน  3.3  ต่างกันเพียงแต่ว่า  3.4  นี้เน้นถึงการกระทำที่  1  ได้ทำต่อเนื่องมาจนถึงการกระทำที่  2  และจะกระทำต่อไปในอนาคตอีกด้วย.

           *   Tense  นี้ไม่ค่อยนิยมใช้บ่อยนัก  โดยเฉพาะกริยาที่ทำนานไม่ได้ อย่านำมาแต่งใน  Tense  นี้เด็ดขาด.

จบเรื่อง  Tense

|หน้าต่อไป|