Preposition Preposition (คำบุรพบท) คือคำที่ใช้เชื่อม หรือแสดงความสำพันธ์ระหว่างคำต่อคำ เช่น นามต่อนาม, กริยากับนาม, กริยากับสรรพนาม สรรพนามกับนาม, หรือนามกับสรรพนาม. Preposition ในภาษาอังกฤษแบ่งออกเป็น 2 ชนิดคือ. 1. Preposition คำเดียว [Single Preposition]. 2. Preposition วลี [Preposition phrase]. Preposition คำเดียวที่พบเห็นบ่อยๆและนิยมใช้กันมากมีอยู่ 44 คำคือ in, on, at, under, to, from, of, off, since, for, near, around, inside, outside, beneath, towards, into, till, until, from to, with, without, by, up, down, after, before, beside, besides, against, through, across, along, above, over, behind, below, underneath, during, between, among, from until, within, forwards . Preposition คำเดียว การใช้ in, at, on บุรพบทที่ใช้กับเวลามีหลักดังนี้. In: ใช้บอกเวลาที่เป็นชื่อเดือน, ปี, ฤดูกาล, และส่วนของวัน เช่น I like to swim in the morning. ผมชอบว่ายน้ำในเวลาเช้า. At : ใช้เพื่อบอกเวลาเกี่ยวกับชั่วโมง , noon, night, midnight, midday, Christmas, Easter เพื่อบอกเวลาเฉพาะเจาะจง เช่น They want home at three oclock, พวกเขากลับบ้านเวลา 15.00 น. On : ใช้เพื่อบอกเวลาที่เป็นวันของสัปดาห์ และวันที่ วันสำคัญทางราชการ และวันสำคัญทางศาสนา เช่น on Sunday, On New Years Day , On Kings Birthday. etc. On time แปลว่า ตรงเวลาพอดี (ตรงพอดี). เช่น He come on time. เขามาตรงเวลาพอดี. In time แปลว่า ทันเวลา (ก่อนเวลา, ก่อนกำหนด). เช่น The train arrived at the station in time. รถไฟมาถึงสถานีทันเวลา(มาถึงก่อนเวลา). การใช้ at, in บุรพบทที่ใช้เกี่ยวกับสถานที่มีหลักดังนี้ at : ใช้บอกสถานที่ที่ไม่ใหญ่โตนัก ที่จำกัดแน่นอน เช่น at school, at the hotel . in : ใช้บอกสถานที่ที่ใหญ่โตก็ได้เช่น in Thailand. หรือใช้บอกสถานที่ที่เจาะจงภายในแห่งใดแห่งหนึ่งไม่ว่าใหญ่หรือโตก็ได้ เช่น In the house, in a country เป็นต้น.
การใช้ During, between, among มีหลักเกณฑ์ดังนี้ คำทั้ง 3 แปลว่า ระหว่าง แต่ใช้ต่างกันดังนี้ During: ใช้สำหรับบอกระยะเวลาการกระทำช่วงใดช่วงหนึ่งตามที่ระบุไว้ในประโยค เช่น During visiting Thailand, I had seen the Emerald Buddha Temple. ระหว่างการมาเที่ยวประเทศไทย ฉันได้ไปชมวัดพระแก้ว เป็นต้น. Between: ใช้สำหรับครั่นระหว่างของสองอย่าง หรือคนสองคน เช่น She is standing between you and me. หล่อนยืนอยู่ระหว่างคุณและผม (เมื่อใช้ between ต้องมี and ตามเสมอ). Among : ใช้สำหรับครั่นหรือเชื่อมนาม ที่มีจำนวนตั้งแต่ 3 ขึ้นไป เช่น The teacher is standing among us . เป็นต้น
การใช้ in, on, by กับยานพาหนะ in : ใช้กับยานพาหนะที่มีสภาพปิด กำบัง เช่น in the bus, in the plane on : ใช้กับยานพาหนะที่มีสภาพเปิดโล่ง แจ้ง ไม่ปกปิดกำบัง เช่น on a house, on a motor-cycle.. by : ใช้ได้ทั้งปิดและเปิด แต่ต้องไม่มี Article นำหน้า เช่น by bus, by train
การใช้ on, over, above มีหลักดังนี้ on : ใช้บอกว่าของที่อยู่บนที่ติดอยู่กับอันล่าง. over : ใช้บอกว่าของอยู่เหนือหัวพอดี. above : ใช้บอกว่าของนั้นอยู่ด้านบน(กว้างๆ).
Preposition วลี Preposition วลี คือบุรพบทตั้งแต่ 2 ตัวขึ้นไปมารวมอยู่ด้วยกัน และมีความหมายเสมือนเป็นบุรพบทคำเดียว แบ่งออกเป็น 2 ชนิด คือ 1. บุรพบทวลีชนิด 2 ตัว [ two words Preposition]. 2. บุรพบทวลีชนิด 3 ตัว [three words Preposition].
บุรพบทชนิด 2 ตัว ได้แก่บุรพบทต่อไปนี้คือ according to ตาม , instead of แทน , แทนที่ because of เพราะว่า, owing to เนื่องจาก.
บุรพบทชนิด 3 ตัวได้แก่บุรพบทต่อไปนี้คือ in order to : เพื่อที่จะ , by means of : โดยอาศัย on account of : เนื่องจาก , in spite of : ถึงแม้ว่า in front of : ข้างหน้า , in back of : ข้างหลัง for the sake of : เพื่อเห็นแก่ , of the point of : เกือบจะ on the point of : เกือบจะ , in consequence of : เนื่องจากว่า
* หมายเหตุ ในเรื่องการใช้บุรพบทนี้ ยังมี กริยาบางตัวที่มีข้อบังคับว่าต้องใช้บุรพบทตัวใดตามหลังอีกด้วย อย่างเช่น belong to (เป็นของ ) , arrive at (มาถึงสถานที่เล็กๆ), ask . for (ขอ), agree with (เห็นด้วย ตกลงด้วย), consist of (ประกอบด้วย) protect from (ป้องกันจาก), believe in (เชื่อ,มีศรัทธา), live on (กินเป็นอาหาร) , make of (ทำด้วย), be afraid of (กลัว,เกรงกลัว) เป็นต้น ซึ่งเราควรค้นคว้าศึกษาไว้ถ้ามีโอกาส. จบเรื่อง preposition
Tense Tense คือรูปแบบ(หรือโครงสร้าง)ของกริยา ที่แสดงให้เราทราบว่าการกระทำหรือเหตุการณ์นั้นๆเกิดขึ้นเมื่อใด ซึ่งเรื่อง tense นี้เป็นเรื่องสำคัญ ถ้าเราใช้ tense ไม่ถูก เราก็จะสื่อภาษากับเขาไม่ได้ เพราะในประโยคภาษาอังกฤษนั้นจะอยู่ในรูปของ tense เสมอ ซึ่งต่างกับภาษาไทยที่เราจะมีข้อความบอกว่าเกิดขึ้นเมื่อใดมาช่วยเสมอ แต่ภาษาอังกฤษจะใช้รูป tense นี้มาเป็นตัวบอก ดังนี้การศึกษาเรื่อง tense จึงเป็นเรื่องจำเป็น. Tense ในภาษาอังกฤษนี้จะแบ่งออกเป็น 3 tense ใหญ่ๆคือ 1. Present tense ปัจจุบัน 2. Past tense อดีตกาล 3. Future tense อนาคตกาล ในแต่ละ tense ยังแยกย่อยได้ tense ละ 4 คือ 1 . Simple tense ธรรมดา (ง่ายๆตรงๆไม่ซับซ้อน). 2. Continuous tense กำลังกระทำอยู่ (กำลังเกิดอยู่) 3. Perfect tense สมบูรณ์ (ทำเรียบร้อยแล้ว). 4. Perfect continuous tense สมบูรณ์กำลังกระทำ (ทำเรียบร้อยแล้วและกำลังดำเนินอยู่ด้วย). โครงสร้างของ Tense ทั้ง 12 มีดังนี้ [1.1] S + Verb 1 + (บอกความจริงที่เกิดขึ้นง่ายๆตรงๆไม่ซับซ้อน). [Present] [1.2] S + is,am,are + Verb 1 ing + (บอกว่าเดี๋ยวนี้กำลังเกิดอะไรอยู่). [1.3] S + has,have + Verb 3 + .(บอกว่าได้ทำมาแล้วจนถึงปัจจุบัน). [1.4] S + has,have + been + Verb 1 ing + (บอกว่าได้ทำมาแล้วและกำลังทำต่อไปอีก).
[2.1] S + Verb 2 + ..(บอกเรื่องที่เคยเกิดมาแล้วในอดีต). [Past] [2.2] S + was,were + Verb 1 + (บอกเรื่องที่กำลังทำอยู่ในอดีต). [2.3] S + had + verb 3 + (บอกเรื่องที่ทำมาแล้วในอดีตในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง). [2.4] S + had + been + verb 1 ing + (บอกเรื่องที่ทำมาแล้วอย่างต่อเนื่องไม่หยุด).
[3.1] S + will,shall + verb 1 + .(บอกเรื่องที่จะเกิดขึ้นในอนาคต). [Feature] [3.2] S + will,shall + be + Verb 1 ing + .(บอกว่าอนาคตนั้นๆกำลังทำอะไรอยู่). [3.3] S + will,shall + have + Verb 3 + (บอกเรื่องที่จะเกิดหรือสำเร็จในช่วงเวลาใดเวลา -หนึ่ง). [3.4] S + will,shall + have + been + verb 1 ing +.. ..(บอกเรื่องที่จะทำอย่างต่อเนื่องในเวลาใด - เวลาหนึ่งในอนาคตและจะทำต่อไปเรื่อยข้างหน้า).
หลักการใช้แต่ละ tense มีดังนี้ [1.1] Present simple tense เช่น He walks. เขาเดิน, 1. ใช้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตามความจริงของธรรมชาติ และคำสุภาษิตคำ พังเพย. 2. ใช้กับเหตุการณ์ที่เป็นความจริงในขณะที่พูด (ก่อนหรือหลังจะไม่จริงก็ตาม). 3. ใช้กับกริยาที่ทำนานไม่ได้ เช่น รัก, เข้าใจ, รู้ เป็นต้น. 4. ใช้กับการกระทำที่คิดว่าจะเกหิดขึ้นในอนาคตอันใกล้(จะมีคำวิเศษณ์บอกอนาคตร่วมด้วย). 5. ใช้ในการเล่าสรุปเรื่องต่างๆในอดีต เช่นนิยาย นิทาน. 6. ใช้ในประโยคเงื่อนไขในอนาคต ที่ต้นประโยคจะขึ้นต้นด้วยคำว่า If (ถ้า), unless (เว้นเสียแต่ว่า), as soon as (เมื่อ,ขณะที่), till (จนกระทั่ง) , whenever (เมื่อไรก็ตาม), while (ขณะที่) เป็นต้น. 7. ใช้กับเรื่องที่กระทำอย่างสม่ำเสมอ และมีคำวิเศษณ์บอกเวลาที่สม่ำเสมอร่วมอยู่ด้วย เช่น always (เสมอๆ), often (บ่อยๆ), every day (ทุกๆวัน) เป็นต้น. 8. ใช้ในประโยคที่คล้อยตามที่เป็น [1.1] ประโยคตามต้องใช้ [1.1] ด้วยเสมอ.
[1.2] Present continuous tense เช่น He is walking. เขากำลังเดิน. 1. ใช้ในเหตุการณ์ที่กำลังกระทำอยู่ในขณะที่พูด(ใช้ now ร่วมด้วยก็ได้ โดยใส่ไว้ต้นประโยค, หลังกริยา หรือสุดประโยคก็ได้). 2. ใช้ในเหตุการณ์ที่กำลังกระทำอยู่ในระยะเวลาอันยาวนาน เช่น ในวันนี้ ,ในปีนี้ . 3. ใช้กับเหตุการณ์ที่ผู้พูดมั่นใจว่าจะต้องเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้ เช่น เร็วๆนี้, พรุ่งนี้. *หมายเหตุ กริยาที่ทำนานไม่ได้ เช่น รัก ,เข้าใจ, รู้, ชอบ จะนำมาแต่งใน Tense นี้ไม่ได้.
[1.3] Present perfect tense เช่น He has walk เขาได้เดินแล้ว. 1. ใช้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแล้วในอดีต และต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน และจะมีคำว่า Since (ตั้งแต่) และ for (เป็นเวลา) มาใช้ร่วมด้วยเสมอ. 2. ใช้กับเหตุการณ์ที่ได้เคยทำมาแล้วในอดีต (จะกี่ครั้งก็ได้ หรือจะทำอีกในปัจจุบัน หรือจะทำในอนาคตก็ได้)และจะมีคำว่า ever (เคย) , never (ไม่เคย) มาใช้ร่วมด้วย. 3. ใช้กับเหตุการณ์ที่จบลงแล้วแต่ผู้พูดยังประทับใจอยู่ (ถ้าไม่ประทับใจก็ใช้ Tense 4. ใช้กับเหตุการณ์ที่เพิ่งจบไปแล้วไม่นาน(ไม่ได้ประทับใจอยู่) ซึ่งจะมีคำเหล่านี้มาใช้ร่วมด้วยเสมอ คือ Just (เพิ่งจะ), already (เรียบร้อยแล้ว), yet (ยัง), finally (ในที่สุด) เป็นต้น.
[1.4] Present perfect continuous tense เช่น He has been walking . เขาได้กำลังเดินแล้ว. * มีหลักการใช้เหมือน [1.3] ทุกประการ เพียงแต่ว่าเน้นว่าจะทำต่อไปในอนาคตด้วย ซึ่ง [1.3] นั้นไม่เน้นว่าได้กระทำอย่างต่อเนื่องหรือไม่ ส่วน [1.4] นี้เน้นว่ากระทำมาอย่างต่อเนื่องและจะกระทำต่อไปในอนาคตอีกด้วย.
[2.1] Past simple tense เช่น He walked. เขาเดินแล้ว. 1. ใช้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและจบลงแล้วในอดีต มิได้ต่อเนื่องมาถึงขณะที่พูด และมักมีคำต่อไปนี้มาร่วมด้วยเสมอในประโยค เช่น Yesterday, year เป็นต้น. 2. ใช้กับเหตุการณ์ที่ทำเป็นประจำในอดีตที่ผ่านมาในครั้งนั้นๆ ซึ่งต้องมีคำวิเศษณ์บอกความถี่ (เช่น Always, every day ) กับคำวิเศษณ์ บอกเวลา (เช่น yesterday, last month ) 2 อย่างมาร่วมอยู่ด้วยเสมอ. 3. ใช้กับเหตุการณ์ที่ได้เคยเกิดขึ้นมาแล้วในอดีต แต่ปัจจุบันไม่ได้เกิดอยู่ หรือไม่ได้เป็นดั่งในอดีตนั้นแล้ว ซึ่งจะมีคำว่า ago นี้ร่วมอยู่ด้วย. 4. ใช้ในประโยคที่คล้อยตามที่เป็น [2.1] ประโยคคล้อยตามก็ต้องเป็น [2.1] ด้วย.
[2.2] Past continuous tense เช่น He was walking . เขากำลังเดินแล้ว 1. ใช้กับเหตุการณ์ 2 อย่างที่เกิดขึ้นไม่พร้อมกัน ( 2.2 นี้ไม่นิยมใช้ตามลำพัง - ถ้าเกิดก่อนใช้ 2.2 - ถ้าเกิดทีหลังใช้ 2.1). 2. ใช้กับเหตุการณ์ที่ไดกระทำติดต่อกันตลอดเวลาที่ได้ระบุไว้ในประโยค ซึ่งจะมีคำบอกเวลาร่วมอยู่ด้วยในประโยค เช่น all day yesterday etc. 3. ใช้กับเหตุการณ์ 2 อย่างที่กำลังทำในเวลาเดียวกัน(ใช้เฉพาะกริยาที่ทำได้นานเท่านั้น หากเป็นกริยาที่ทำนานไม่ได้ก็ใช้หลักข้อ 1 ) ถ้าแต่งด้วย 2.1 กับ 2.2 จะดูจืดชืด เช่น He was cleaning the house while I was cooking breakfast.
[2.3] Past perfect tense เช่น He had walk. เขาได้เดินแล้ว. 1. ใช้กับเหตุการณ์ 2 อย่างที่เกิดขึ้นไม่พร้อมกันในอดีต มีหลักการใช้ดังนี้. เกิดก่อนใช้ 2.3 เกิดทีหลังใช้ 2.1. 2. ใช้กับเหตุการณ์หรือการกระทำอันเดียวก็ได้ในอดีต แต่ต้องระบุชั่วโมงและวันให้แน่ชัดไว้ในทุกประโยคด้วยทุกครั้ง เช่น She had breakfast at eight o clock yesterday.
[2.4] past perfect continuous tense เช่น He had been walking. มีหลักการใช้เหมือนกับ 2.3 ทุกกรณี เพียงแต่ tense นี้ ต้องการย้ำถึงความต่อเนื่องของการกระทำที่ 1 ว่าได้กระทำต่อเนื่องไปจนถึงการกระทำที่ 2 โดยมิได้หยุด เช่น When we arrive at the meeting , the lecturer had been speaking for an hour . เมื่อพวกเราไปถึงที่ประชุม ผู้บรรยายได้พูดมาแล้วเป็นเวลา 1 ชั่วโมง.
[3.1] Future simple tense เช่น He will walk. เขาจะเดิน. ใช้กับเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ซึ่งจะมีคำว่า tomorrow, to night, next week, next month เป็นต้น มาร่วมอยู่ด้วย. * Shall ใช้กับ I , we. Will ใช้กับบุรุษที่ 2 และนามทั่วๆไป. Will, shall จะใช้สลับกันในกรณีที่จะให้คำมั่นสัญญา, ข่มขู่บังคับ, ตกลงใจแน่วแน่. Will, shall ใช้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นโดยธรรมชาติหรือจงใจก็ได้. Be going to (จะ) ใช้กับความจงใจของมนุษย์เท่านั้น ห้ามใช้กับเหตุการณ์ของธรรมชาติและนิยมใช้ในประโยคเงื่อนไข.
[3.2] Future continuous tense เช่น He will be walking. เขากำลังจะเดิน. 1. ใช้ในการบอกกล่าวว่าในอนาคตนั้นกำลังทำอะไรอยู่ (ต้องกำหนดเวลาแน่นอนด้วยเสมอ). 2. ใช้กับเหตุการณ์ 2 อย่างที่จะเกิดขึ้นไม่พร้อมกันในอนาคต มีกลักการใช้ดังนี้. - เกิดก่อนใช้ 3.2 S + will be, shall be + Verb 1 ing. - เกิดทีหลังใช้ 1.1 S + Verb 1 .
[3.3] Future prefect tens เช่น He will walked. เขาจะได้เดินแล้ว. 1. ใช้กับเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นหรือสำเร็จลงในเวลาใดเวลาหนึ่งในอนาคต โดยจะมีคำว่า by นำหน้ากลุ่มคำที่บอกเวลาด้วย เช่น by tomorrow , by next week เป็นต้น. 2. ใช้กับเหตุการณ์ 2 อย่างที่จะเกิดขึ้นไม่พร้อมกันในอนาคต มีหลักดังนี้. - เกิดก่อนใช้ 3.3 S + will, shall + have + Verb 3. - เกิดที่หลังใช้ 1.1 S + Verb 1 .
[3.4] Future prefect continuous tense เช่น He will have been walking. เขาจะได้กำลังเดินแล้ว. ใช้เหมือน 3.3 ต่างกันเพียงแต่ว่า 3.4 นี้เน้นถึงการกระทำที่ 1 ได้ทำต่อเนื่องมาจนถึงการกระทำที่ 2 และจะกระทำต่อไปในอนาคตอีกด้วย. * Tense นี้ไม่ค่อยนิยมใช้บ่อยนัก โดยเฉพาะกริยาที่ทำนานไม่ได้ อย่านำมาแต่งใน Tense นี้เด็ดขาด. จบเรื่อง Tense |