คำในภาษาอังกฤษแบ่งออกเป็นชนิดต่างๆได้ ๘ ชนิด ด้วยกันคือ 1. Noun คำนาม (คำที่ใช้เรียกชื่อคน สัตว์ สิ่งของ สถานที่) 2. Pronoun คำสรรพนาม (คำที่ใช้แทนคำนาม) 3. Adjective คำคุณศัพท์ (คำขยายคำนาม) 4. Adverb คำกริยาวิเศษณ์ (คำขยายกริยา ฯลฯ ยกเว้นนาม กับ สรรพนาม) 5. Verb คำกริยา ( อาการกระทำของประธาน) 6. Conjunction คำสันธาน (คำที่ใช้เชื่อมอนุประโยคตั้งแต่ 2 ประโยคขึ้นไป) 7. Preposition คำบุพบท (คำใช้เชื่อมแสดงความสัมพันธ์ระหว่างคำต่อคำ) 8. Interjection คำอุทาน (คำทีเปล่งออกมาลอยๆ เพื่อแสดงความรู้สึกของอารมณ์) ในภาษาอังกฤษนั้นการสร้างประโยคจะใช้คำต่างๆเหล่านี้มาแต่งเป็นประโยคขึ้น ซึ่งคำแต่ละชนิดนี้จะมีลักษณะเฉพาะของตนเอง คือมีหน้าที่ต่างกันและมีการวางตัวต่างกันด้วย ซึ่งต่อไปนี้จะได้อธิบายพื้นฐานเรื่องหลักการใช้คำต่างๆเหล่านี้และหลักการแต่งประโยคอย่างง่ายๆ
NOUN Noun คือคำที่ใช้เป็นชื่อของ คน สัตว์ สิ่งของและสถานที่ แบ่งออกได้ 5 ชนิดคือ 1. Common Noun สามานยนาม ได้แก่นามที่เป็นชื่อไม่ชี้เฉพาะของ คน สัตว์ สิ่งของ และสถานที่ เช่น man, dog, pen, school . 2. Proper Noun วิสามานยนาม ได้แก่นามที่เป็นชื่อเฉพาะของคน สัตว์ สิ่งของ และสถานที่ และจะต้องเขียนด้วยตัวใหญ่เสมอ เช่น Ladda, Dang, Diccky, Toyota, Thailand 3. Collective Noun สมุหนาม ได้แก่นามที่เป็นชื่อของหมู่คณะ, กลุ่ม, ฝูง, เป็นต้น ส่วนมากมัก จะเป็นคำผสมที่ครั่นด้วย of เสมอ และสมุหนามนี้ต้องถือว่าเป็นนามพหูพจน์ตลอดไป ดังนั้นกิริยาจึงต้องใช้ให้เป็นพหูพจน์ด้วย (อนึ่งบางคำอาจเป็นคำคำเดียวก็ได้ไม่จำเป็นต้องมี of และถ้าสมุหนามนี้มาทำหน้าที่เป็นประธานแล้วหมายถึงหน่วยเดียวก็ใช้กิริยาเป็นเอกพจน์ แต่ถ้าหมายถึงแยกเป็นแต่ละบุคคลที่มีอยู่หลายคน ถือว่าสมุหนามนั้นเป็นพหูพจน์ ต้องใช้กิริยาให้เป็นพหูพจน์ด้วย) 4. Material Noun วัตถุนาม ได้แก่นามที่เป็นชื่อของเนื้อวัตถุ ซึ่งส่วนมากก็ได้แก่นามที่เป็นของเหลว, แร่, ธาตุ,โลหะ แต่นามบางชนิดเมื่อยังไม่แยกก็จัดเป็น common Noun แต่เมื่อแยกแล้วจะมาเป็น Material Noun เช่น cow, ox, วัวมาแบ่งเป็น beef เนื้อวัว . 5. Abstract Noun อาการนาม ได้แก่นามที่เป็นชื่อของลักษณะ, สภาวะ, และการกระทำ นามจำพวกนี้ไม่มีตัวตน เป็นเพียงกิริยาอาการเท่านั้น มีสำเนียงแปลว่า การ หรือ ความ ขึ้นต้น เช่น happiness ความสุข, Slavery ความเป็นทาส , eating การกิน เป็นต้น
หน้าที่ของนาม นามทั้ง 5 ชนิดที่กล่าวมานั้น เวลานำไปพูดหรือเขียน สามารถทำหน้าที่ได้ 7 อย่างคือ 1. เป็น Subject ของกิริยาในประโยคได้. 2. เป็น Object ของกิริยาในประโยคได้. 3. เป็น Object ของ Preposition (บุรพบท) ได้. 4. เป็น Complement คือส่วนสมบูรณ์ของกิริยาได้. 5. เป็น Appositive คือเป็นนามซ้อนนามได้. 6. เป็น Address คือเป็นนามเรียกขานได้(และต้องใส่ , Comma ด้วย). 7. เป็น Possessive คือเป็นนามแสดงความเป็นเจ้าของได้ (และต้องใส่ Apostrophes ด้วย)
ลักษณะพจน์ของนามโดยทั่วไป ในการสร้างประโยคนั้นจะต้องใช้กริยาให้สอดคล้องกับพจน์ของตัวประธาน ถ้าประธานเป็นเอกพจน์กริยาก็ต้องเป็นเอกพจน์ ถ้าประธานเป็นพหูพจน์กริยาก็ต้องเป็นพหูพจน์ ซึ่งหลักในการดูว่านามนั้นเป็นเอกพจน์หรือพหูพจน์นั้นก็ให้ดูที่ท้ายศัพท์นั้นๆคือ 1. ถ้าท้ายศัพท์นั้นไม่เติม S ให้ถือว่าเป็นเอกพจน์ เช่น a book , a cat etc. 2. ถ้าท้ายศัพท์นั้นเติม S ให้ถือว่าเป็นพหูพจน์ เช่น Books, cats . etc. * ข้อยกเว้น มีนามหลายตัว หรือหลายลักษณะที่ไม่อยู่ในหลักการทั้ง ที่กล่าวมาแล้วนั้น ซึ่งเป็นเรื่องที่ละเอียดเกินไปที่เราควรจะรู้ในขณะนี้ ดังนั้นจะไม่กล่าวถึงกรณีที่ยกเว้นเหล่านี้ ถ้าใครสนใจอยากรู้มากขึ้นก็พึงหาศึกษาเอาเองต่อไป.
เพศของนาม นามในภาษาอังกฤษทั้ง 5 ชนิด เมื่อจำแนกออกเป็นเพศแล้วจะมีอยู่ 4 เพศ คือ 1. Masculine Gender เพศชาย เช่น boy, man .etc. 2. Feminine Gender เพศหญิง เช่น girl, woman etc. 3. Common Gender เพศรวม เช่น Teacher, Student etc. 4. Nature Gender ไม่มีเพศ เช่น pen, desk etc.
หลักการเปลี่ยนเพศชายเป็นเพศหญิงมีหลักเกณฑ์ 4 อย่างคือ 1. โดยการเปลี่ยนคำทั้งคำจากเพศชายเป็นเพศหญิง เช่น Boy เป็น Girl เป็นต้น 2. โดยการเติมอาคม ess ที่ท้ายคำเพศชาย เช่น Prince เป็น Princess เป็นต้น 3. โดยการเติมคำที่เป็นเพศหญิงข้างหน้านาม จะกลายเป็นเพศหญิง เช่น Boy-friend เป็น girl-friend เป็นต้น. 4. โดยการเติมคำที่เป็นเพศหญิงข้างหลังนามจะกลายเป็นเพศหญิง เช่น Grand-father เป็น Grand-mother เป็นต้น.
จบเรื่องนาม
Pronoun Pronoun (คำสรรพนาม) คือคำที่มีไว้สำหรับ(พูด,เขียน)แทนชื่อของคน,สัตว์,สิ่งของ,และสถานที่เพื่อป้องกันมิให้กล่าวชื่อนั้นซ้ำๆซากๆ ซึ่งเป็นการฟังไม่ไพเราะ Pronoun มีอยู่ 8 ชนิดด้วยกันคือ 1. Personal Pronoun บุรุษสรรพนาม 2. Possessive Pronoun สามีสรรพนาม 3. Definite Pronoun นิยมสรรพนาม 4. Indefinite Pronoun อนิยมสรรพนาม 5. Interrogative Pronoun ปฤจฉาสรรพนาม 6. Relative Pronoun ประพันธ์สรรพนาม 7. Reflexive Pronoun สรรพนามสะท้อนหรือเน้น 8. Distributive Pronoun วิภาคสรรพนาม 1. Personal Pronoun บุรุษสรรพนาม คือสรรพนามที่ใช้แทนชื่อของผู้พูด, ผู้ฟัง, และผู้ที่ถูกกล่าวถึง ซึ่งมีอยู่ 2 พจน์ 3 บุรุษ คือ
Personal Pronoun แบ่งได้ 5 รูป คือ
2. Possessive Pronoun สามีสรรพนาม คือสรรพนามที่ใช้แสดงความเป็นเจ้าของ ซึ่งก็คือบุรุษสรรพนามรูปที่ 4 นั่นเอง เวลาใช้ไม่ต้องมีนามตามหลัง มีหน้าที่ 3 อย่างคือ 2.1 เป็นประธานของกิริยาในประโยค เช่น Your book is green, mine is red. 2.2 เป็นส่วนสมบูรณ์ของกิริยา เช่น this pencil is mine, that one is your. 2.3 ใช้เรียงตามหลังบุรพบท(คำเชื่อมคำ) เพื่อเน้นความเป็นเจ้าของให้ชัดเจนขึ้นได้เช่น A friend of yours was killed last night. 3. Definite Pronoun นิยมสรรพนาม คือสรรพนามที่ชี้เฉพาะและใช้แทนนามได้ ที่นิยมใช้แพร่หลายมีอยู่ 6 ตัวคือ (รวมทั้ง which ด้วย) this, that, one 3 ตัวนี้ใช้แทนนามที่เป็นเอกพจน์. These, those, ones 3 ตัวนี้ใช้แทนนามที่เป็นพหูพจน์. *นิยมสรรพนามนี้ ทำหน้าที่เป็นประธานหรือกรรมของกิริยาในประโยคได้ตามแต่ จะ ใช้งาน. 4. Indefinite pronoun อนิยมสรรพนาม คือสรรพนามที่ใช้แทนนามได้ทั่วไป ไม่เฉพาะเจาะจงว่าแทนคนนั้นคนนี้โดยตรง (ตรงข้ามกับ Definite Pronoun) ได้แก่คำว่า some, any, all, someone, somebody, anybody, few, everyone, many, nobody, everybody, other etc. *ข้อสังเกต ทั้งนิยมสรรพนามและอนิยมสรรพนาม ถ้าใช้โดยมีคำนามอื่นตามหลังจะกลายเป็นคำคุณศัพท์ไป แต่ถ้าใช้โดยไม่มีคำนามอื่นตามหลังจึงจะเป็นนิยมสรรพนามหรืออนิยมสรรพนาม. 5. Interrogative pronoun ปฤจฉาสรรพนาม คือสรรพนามที่ใช้เป็นคำถาม และต้องไม่มีนามตามหลังด้วยจึงจะเรียกว่าเป็นปฤจฉาสรรพนาม ได้แก่ Who , whom, whose , what, which ซึ่งมีวิธีใช้ดังนี้. · Who (ใคร) ใช้ถามถึงบุคคลและเป็นประธานของกิริยาในประโยคได้ บางครั้งก็เป็นกรรมได้ เช่น. Who is standing there ? ใครกำลังยืนอยู่ที่นั่น?. · Whom (ใคร) ใช้ถามถึงบุคคลและเป็นกรรมของกิริยาหรือบุรพบท (บางครั้งใช้ Who แทน).เช่น Whom do you love ? คุณรักใคร ?. · Whose (ของใคร) ใช้ถามถึงเจ้าของ และต้องเป็นบุคคลเท่านั้น เช่น. Whose is the car ? รถคันนี้เป็นของใคร · What (อะไร) ใช้ถามถึงสิ่งของเป็นได้ทั้งประธานและกรรม เช่น:- - ถ้าเป็นประธานต้องไม่ใช้กริยาอะไรมาช่วยทั้งสิ้น เช่น What delayed you ? อะไรทำให้คุณล่าช้า. - ถ้าเป็นกรรมต้องมีกริยาช่วยตัวอื่นมาร่วมด้วย และวางไว้หลัง What เช่น What do you want ? · Which (สิ่งไหน อันไหน) ใช้ถามถึงสัตว์, สิ่งของ, เป็นได้ทั้งประธานและกรรม เช่น ถ้าเป็นประธานไม่ต้องใช้กริยาอื่นมาช่วย Which is the best? อันไหนดีที่สุด ?.(อนึ่งปฤจฉาสรรพนาม Whose ,which, what นี้ ถ้าใช้โดยมีนามอื่นตามหลังก็เป็นคุณศัพท์ไป ถ้าไม่มีนามอื่นตามหลังจึงจะเป็นปฤจฉาสรรพนาม) 6. Relative Pronoun ประพันธ์สรรพนาม คือสรรพนามที่ใช้แทนที่อยู่ข้างหน้า และในขณะเดียวกันก็ทำหน้าที่เชื่อมประโยค ซึ่งอาจเป็นประธานของประโยคหลังได้ด้วย ได้แก่ Who, Whom, Whose, Which, Where, what, when, why, that . · Who (ผู้ซึ่ง) ใช้แทนนามที่เป็นบุคคลและบุคคลนั้นจะต้องเป็นผู้กระทำด้วย เช่น The man who came here last week is my cousin. ชายผู้ซึ่งมาที่นี่เมื่อสัปดาห์ที่แล้วเป็นลูกพี่ลูกน้องของฉัน. · Whom (ผู้ซึ่ง) ใช้แทนนามที่เป็นบุคคลและบุคคลนั้นต้องเป็นผู้ถูกกระทำด้วย เช่น The boy whom you saw yesterday is my brother. เด็กชายผู้ซึ่งคุณพบเมื่อวานนี้เป็นน้องชายของผม. · Whose (ผู้ซึ่ง ..ของเขา) ใช้แทนนามที่เป็นบุคคลเพื่อแสดงความเป็นเจ้าของนามที่ตามหลัง ดังนั้นเมื่อมี Whose ก็ต้องมีนามตามหลัง Whose เสมอ เช่น The girl whose father is a teacher goes to school every day. เด็กหญิงผู้ซึ่งพ่อของเขาเป็นครูนั้นไปโรงเรียนทุกวัน.(เป็นคำแสดง ความ เป็นเจ้าของ Father). · Which (ที่,ซึ่ง) ใช้แทนนามที่เป็นสัตว์ สิ่งของ เป็นได้ทั้งประธานและกรรม The animal which has wing is a bird. สัตว์ที่มีปีกนั้นคือนก(เป็นประธานของอนุประโยค has wings) The kitten which I gave to my aunt is very naughty. ลูกแมวซึ่งฉันให้แก่คุณป้าของฉันไปนั้นซุกซนมาก.(เป็นกรรมของกริยา gave ในอนุประโยค I gave to my aunt). · Where (อันเป็นที่) ใช้แทนนามที่เป็นสถานที่ เป็นได้ทั้งประธานและกรรม เช่น The night club is the place where is not suitable for children. ไนท์คลับเป็นสถานที่ที่ไม่เหมาะสมสำหรับเด็กๆ(เป็นประธานของอนุประโยค is not suitable for children ) The hotel is the place where I like best . โรงแรมเป็นสถานที่ที่ผมชอบมากที่สุด.(เป็นกรรมของ like). · What (อะไร,สิ่งที่) ใช้แทนนามที่เป็นสิ่งของ นามที่ What ไปแทนทำหน้าที่เป็นประพันธ์สรรพนามนั้นไม่ต้องปรากฏให้เห็นอยู่ข่างหน้าเหมือนประพันธ์สรรพนามตัวอื่น ทั้งนี้เพราะถูกละไว้ในฐานะที่เข้าใจแล้ว เช่น I know what is in the box. ฉันรู้ว่าอะไรอยู่ในกล่องใบนี้. · When (เมื่อ,ที่) ใช้แทนนามที่เกี่ยวกับเวลา ,วัน, เดือน,ปี เช่น Sunday is the day when we dont work. วันอาทิตย์คือวันที่เราไม่ทำงาน. · Why (ทำไม) ใช้แทนนามที่เป็นเหตุผล (ส่วนมากใช้แทน reason ) เช่น This is the reason why I go to Hong Kong. นี้คือเหตุผลที่ว่า ทำไมผมจึงไปฮ่องกง. · That (ที่,ซึ่ง) ใช้แทนคน, สัตว์, สิ่งของ, และสถานที่ได้ แต่ต้องอยู่ในหลักเกณฑ์ 4 ประการอย่างใดอย่างหนึ่ง อันได้แก่ :- 1. เป็นนามที่มีคุณสมบัติสูงสุดมาขยายอยู่ข้างหลัง เช่น He is the tallest man that I have ever seen. เขาเป็นคนสูงที่สุดเท่าที่ผมเคยเห็นมา. 2. เป็นนามที่มีเลขจำนวนนับที่มาขยายอยู่ข้างหน้า เช่น China is the first country that I am going to visit. จีนเป็นประเทศแรกที่ข้าพเจ้าจะไปเที่ยว. 3. เป็นนามที่มีคุณศัพท์บอกปริมาณมาขยายอยู่ข้างหน้า เช่น She has much money that she give me. หล่อนมีเงินอยู่มากที่หล่อนจะให้ผม. 4. เป็นสรรพนามผสมต่อไปนี้ตัวใดตัวหนึ่งปรากฏอยู่แล้ว คือ someone, somebody, something, anyone, anything, anybody, anyone, everything, no one, nothing, etc. เช่น There is nothing that I can do for you. ไม่มีอะไรที่ผมจะช่วยคุณได้. 7. Reflexive Pronoun สรรพนามสะท้อนหรือเน้น ได้แก่บุรุษสรรพนามที่ 5 นั่นเอง อันได้แก่ myself, yourself, . Themselves. เวลาใช้มีวิธีใช้ 4 อย่างคือ :- 1. เรียงไว้หลังประธาน เมื่อต้องการเน้นว่าประธานเป็นผู้กระทำกิจนั้นด้วยตนเอง เช่น I myself study English. ผมเรียนภาษาอังกฤษด้วยตนเอง. 2. เรียงไว้หลังกริยา เมื่อบอกว่าผลการกระทำนั้นเกิดจากผู้กระทำเองเช่น I will punish myself if I do mistakes ผมจะลงโทษตัวเอง หากผมทำผิด. 3. เรียงไว้หลังกรรม เมื่อต้องการเน้นกรรมนั้นเช่น I spoke to the President himself . ผมได้พูดกับตัวท่านประธานาธิบดีเอง. 4. เรียงไว้หลังบุรพบท by วางไว้สุดประโยคทุกครั้งไป เมื่อต้องการแสดงว่าประธานผู้นั้นกระทำกิจนั้นโดยลำพังคนเดียว เช่น Pranee makes her dress by herself. 8. Distributive Pronoun วิภาคสรรพนาม คือสรรพนามที่ใช้แทนคำนามในการแบ่งหรือจำแนกออกเป็นครึ่งหนึ่ง, สิ่งหนึ่ง, หรือตัวหนึ่ง วิภาคสรรพนามที่นิยมใช้กันมากคือ each แต่ละ, either คนใดคนหนึ่ง, neither ไม่ใช่ทั้งสอง หรือไม่ใช่ทั้งสอง เช่น There are ten boy each has one hundred bath. มีเด็กอยู่ 10 คน แต่ละคนมีเงินอยู่คนละ 100 บาท. * ข้อสังเกต วิภาคสรรพนามถ้าใช้ลอยๆเป็นสรรพนาม แต่ถ้าใช้โดยมีนามอื่นตามหลังจะเป็นคุณศัพท์ จบสรรพนาม |