วิธีการค้นหาคำสอนที่แท้จริงของพระพุทธเจ้า มนุษย์นั้นเมื่อเกิดขึ้นมาแล้วก็ไม่รู้ว่า ชีวิตคืออะไร? เมื่อไม่รู้ว่าชีวิตคืออะไร? จึงไม่รู้ว่า ชีวิตเกิดมาทำไม? และอะไรคือสิ่งสูงสุดที่ชีวิตควรได้รับ? ซึ่งตามหลักของพุทธศาสนานั้น การศึกษาเพื่อให้เกิดความเข้าใจและเห็นแจ้งว่าชีวิตคืออะไร?นั้น จะต้องใช้สมาธิ (ความตั้งใจ) มากในการอ่าน ที่สำคัญจะต้องไม่มีอคติ (ความลำเอียง) และต้องปล่อยวางความเชื่อที่มีอยู่ในเรื่องศาสนา (แม้ของพุทธศาสนาเองด้วย) และชีวิต (คือจากการอ่านจากตำราหรือฟังจากคนอื่น หรือแม้จากการคิดขึ้นมาเองก็ตาม) ทั้งหมดลงก่อน (แม้เพียงชั่วคราว) แล้วค่อยๆพิจารณาโดยใช้เหตุผลและความจริง จากจิตใจของเราเองในปัจจุบันมาพิจารณาไปตามลำดับ ก็จะทำให้ค้นพบได้ว่าชีวิตคืออะไร ? รวมทั้งค้นพบว่าพระพุทธเจ้าสอนอะไร? ด้วยสติปัญญาของเราเอง โดยที่ไม่จำเป็นต้องเชื่อจากใครๆหรือจากตำราใดๆทั้งสิ้น ซึ่งลำดับขั้นในการศึกษานั้นก็มีดังนี้ (๑) ก่อนอื่นเราต้องยอมรับว่า สรุปแล้วมนุษย์นั้นเมื่อเกิดขึ้นมาแล้วก็อยากได้ความสุข แต่กลัวความทุกข์ (ความกลัวก็คือความไม่อยากได้อย่างรุนแรง) แต่เมื่อได้ความสุขตามที่อยากจะได้แล้ว ความทุกข์ก็จะเกิดขึ้นตามมาด้วยเสมอ เพราะมันเป็นของคู่กันตามธรรมชาติ ดังนั้นความทุกข์จึงจัดเป็นภัย (สิ่งที่น่าหวาดกลัว) อันใหญ่หลวงของมนุษย์ทุกคน (ยอมรับข้อนี้หรือไม่? ถ้าไม่ยอมรับก็ไม่ผ่านเพราะไม่ยอมรับความจริง) (๒) ข้อต่อไปก็คือ ความทุกข์นี้ หมายถึง ความทุกข์ของจิตใจ ที่เกิดจากการที่จิตไปยึดมั่นในร่างกายและจิตใจของเราเอง (ขันธ์ ๕) รวมทั้งสิ่งที่เกี่ยวข้อง (เช่น พ่อ แม่ ลูก เมีย ทรัพย์สมบัติ ชื่อเสียงเกียรติยศ เป็นต้น) ว่าเป็น ตัวเรา ของเรา ด้วยความรักความพอใจ ซึ่งเมื่อสิ่งที่ได้ยึดมั่นไว้นั้นมันเปลี่ยนแปลงไปตามธรรมชาติของมัน คือ ร่างกาย เจ็บ ป่วย พิการ แก่ หรือกำลังจะตาย หรือคนที่เรารักได้จากไป หรือการที่เราต้องอยู่กับคนที่เราไม่รัก หรือการที่เรากำลังผิดหวังอยู่ ก็จะทำให้จิตที่ยึดถือนี้เกิดความเศร้าโศก หรือเสียใจ แห้งเหี่ยวใจ ตรอมใจ คับแค้นใจ เป็นต้น ขึ้นมาทันที ซึ่งนี่คือความทุกข์ที่เป็นภัยอันใหญ่หลวงของมนุษย์ ส่วนความทรมานของร่างกาย (เช่น ความเจ็บ-ปวด หิว กระหาย หนัก-เหนื่อย เป็นต้น) นั้น ไม่ใช่ความทุกข์ที่จัดว่าเป็นภัยอันใหญ่หลวง เพราะถ้าเราไม่มีความยึดมั่นว่าเป็นร่างกายของเราเสียแล้ว ความทรมานของร่างกายนี้ก็ไม่เป็นปัญหา คือไม่ทำให้จิตใจเป็นทุกข์ที่รุนแรง (ยอมรับข้อนี้หรือไม่? ถ้าไม่ยอมรับก็ไม่ผ่านเพราะไม่ยอมรับความจริง) (๓) ข้อต่อไปก็คือ สรุปแล้วสิ่งที่เป็นประโยชน์สูงสุดสำหรับชีวิตก็คือ ความไม่มีทุกข์ (หรือความหลุดพ้นจากภัยอันใหญ่หลวง) ส่วนความสุขนั้นไม่ใช่สิ่งที่เป็นประโยชน์สูงสุดของชีวิต เพราะความพอใจในความสุขนั่นเองจะนำความทุกข์มาให้ด้วยเสมอ ดังนั้นความสุขแม้จะประณีตและมากมายสักเพียงใดก็ตาม ก็ไม่ใช่สิ่งที่เป็นประโยชน์สูงสุดสำหรับชีวิต (ยอมรับข้อนี้หรือไม่? ถ้าไม่ยอมรับก็ไม่ผ่านเพราะไม่ยอมรับความจริง) (๔) ข้อต่อไปก็คือ พระพุทธเจ้าคือผู้ที่มีสติปัญญาสูงสุดในหมู่มนุษย์ และเป็นสุดยอดอัจฉริยะในด้านการคิด ดังนั้นสิ่งที่พระพุทธเจ้าสอน จะต้องเป็นประโยชน์สูงสุดสำหรับชีวิตเท่านั้น (ยอมรับข้อนี้หรือไม่? ถ้าไม่ยอมรับก็ไม่ผ่านเพราะไม่ยอมรับความจริง) (๕) ข้อต่อไปก็คือ สรุปแล้วพระพุทธเจ้าจะสอนเฉพาะเรื่องการดับทุกข์ (หรือพ้นทุกข์ หรือไม่มีทุกข์) เพราะเป็นประโยชน์สูงสุดสำหรับชีวิต ถ้าเรื่องใดไม่เป็นไปเพื่อความพ้นทุกข์ พระพุทธเจ้าจะไม่สอน (ยอมรับข้อนี้หรือไม่? ถ้าไม่ยอมรับก็ไม่ผ่านเพราะไม่ยอมรับความจริง) (๖) ข้อต่อไปก็คือ เมื่อความทุกข์เกิดจากความยึดถือว่าร่างกายและจิตใจ รวมทั้งสิ่งต่างที่เกี่ยวข้อง (เช่น พ่อ แม่ ลูก เมีย ทรัพย์สมบัติ เป็นต้น) เป็น ตัวเรา-ของเรา (ที่เรียกว่าอุปาทาน) ดังนั้นในทางตรงกันข้าม ถ้าไม่มีความยึดถือว่าร่างกายและจิตใจนี้คือตัวเรา-ของเรา ก็จะไม่มีความทุกข์ (ยอมรับข้อนี้หรือไม่? ถ้าไม่ยอมรับก็ไม่ผ่านเพราะไม่ยอมรับความจริง) (๗) ข้อต่อไปก็คือ เมื่อไม่มีความทุกข์ จิตก็จะสงบ เย็น ปลอดโปร่ง สดชื่น แจ่มใส เบาสบาย ที่เรียกอย่างสมมติว่า นิพพาน ที่แปลตรงๆว่า เย็น (ยอมรับข้อนี้หรือไม่? ถ้าไม่ยอมรับก็ไม่ผ่านเพราะไม่ยอมรับความจริง) (๘) ข้อต่อไปก็คือ นิพพานนี้เราก็พอจะมีกันอยู่บ้างแล้ว (อย่างชั่วคราว) ในชีวิตประจำวันของเรา เพียงแต่อาจมีไม่มาก (ไม่เย็นมาก) และไม่บ่อยนักเท่านั้น เพราะส่วนมากในชีวิตประจำวัน ของเราจะมีความฟุ้งซ่านรำคาญใจ มาครอบงำจิตอยู่เสมอๆ จึงทำให้จิตขุ่นมัว ไม่สงบ ไม่แจ่มใส (หรือมีความทุกข์อ่อนๆ) อยู่เกือบจะทั้งวัน แล้วก็ทำให้นิพพานมีน้อย ส่วนความทุกข์นั้นจะมีก็ต่อเมื่อมีสิ่งภายนอกที่รุนแรงมากระทบจิตเท่านั้น เช่น เมื่อรู้ว่าคนที่รักได้จากไป เป็นต้น (ยอมรับข้อนี้หรือไม่? ถ้าไม่ยอมรับก็ไม่ผ่านเพราะไม่ยอมรับความจริง) (๙) ข้อต่อไปก็คือ การที่เราไปยึดถือในสิ่งต่างๆ (คือร่างกายและจิตใจรวมทั้งสิ่งต่างๆที่เกี่ยวข้อง เช่น พ่อ แม่ คู่ครอง ลูก ทรัพย์สมบัติ เป็นต้น) ว่าเป็นตัวเรา-ของเรา นั้นก็เป็นเพราะ สิ่งเหล่านั้นมันให้ความสุขแก่เรา เมื่อมันให้ความสุขแก่เรา เราจึงรักหรือพอใจในสิ่งเหล่านั้น เมื่อเรารักหรือพอใจในสิ่งใด ก็เท่ากับว่าเราได้ยึดถือสิ่งนั้นเอาไว้ด้วยจิตใจเข้าแล้วอย่างถอนตัวไม่ขั้น (ยอมรับข้อนี้หรือไม่? ถ้าไม่ยอมรับก็ไม่ผ่านเพราะไม่ยอมรับความจริง) (๑๐) ข้อต่อไปก็คือ เมื่อเราพิจารณาให้ลึกซึ้งเราก็จะพบว่า การที่เรารักหรือพอใจในสิ่งเหล่านั้นก็เป็นเพราะ เรามีความเห็นหรือเข้าใจ (ที่เป็นความรู้สึกจากจิตใต้สำนึก ซึ่งมันเกิดขึ้นมาเองโดยไม่ได้ตั้งใจคิด) ว่า สิ่งเหล่านั้นมันเป็นตัวตนของมันเองจริงๆ (อัตตา), และเข้าใจว่ามันจะเที่ยงคือตั้งอยู่อย่างนั้นตลอดไปได้ (นิจจัง), รวมทั้งเข้าใจว่ามันสามารถทนอยู่อย่างสุขสบาย (สุขัง) (ยอมรับข้อนี้หรือไม่? ถ้าไม่ยอมรับก็ไม่ผ่านเพราะไม่ยอมรับความจริง) (๑๑) ข้อต่อไปก็คือ แต่ถ้าเราเห็น (เข้าใจ) อย่างแจ่มชัดด้วยการใช้เหตุผลพิจารณาว่า สิ่งที่เรารักหรือพอใจนั้น มันไม่ใช่ตัวตนที่แท้จริง (อนัตตา) และไม่เที่ยงคือมีความเปลี่ยนแปลงไปสู่ความดับสลายอยู่ตลอดเวลา (อนิจจัง) รวมทั้งยังต้องทนอยู่อย่างยากลำบากอีกด้วย (ทุกขัง) เราก็จะไม่รักหรือไม่พอใจในสิ่งนั้น (หรือมีความรัก-ความพอใจลดน้อยลง) และเมื่อไม่รักก็จะไม่ยึดถือ (หรือมีความยึดถือลดน้อยลง) (ยอมรับข้อนี้หรือไม่? ถ้าไม่ยอมรับก็ไม่ผ่านเพราะไม่ยอมรับความจริง) (๑๒) ข้อต่อไปก็คือ สิ่งที่ไม่ใช่ตัวตนที่แท้จริง (อนัตตา) นั้น อีกความหมายก็คือ มันไม่มีตัวตนที่แท้จริง ที่จะมาให้เรายึดถือว่าเป็นตัวเราหรือของเราได้ (ที่เรียกว่าสุญญตา) ซึ่งสิ่งที่เป็นอนัตตานั้นจะมีลักษณะให้เราสังเกตหรือรู้สึกได้คือ มีความไม่เที่ยง (คือมีความเปลี่ยนแปลง และมีการเกิดและดับ) รวมทั้งยังต้องอาศัยเหตุและปัจจัยมาปรุงแต่งให้เกิดขึ้นและตั้งอยู่ (ยอมรับข้อนี้หรือไม่? ถ้าไม่ยอมรับก็ไม่ผ่านเพราะไม่ยอมรับความจริง) (๑๓) ข้อต่อไปก็คือ สรุปแล้วร่างกายของเรานี้เกิดขึ้นมาจากดิน, น้ำ, ความร้อน, และอากาศ มาปรุงแต่งให้เกิดขึ้นและตั้งอยู่ โดยมีพ่อและแม่เป็นผู้ร่วมกันสร้างขึ้น ซึ่งนี้ก็แสดงถึงว่าร่างกายเป็น สิ่งปรุงแต่ง ที่เป็นอนัตตา คือ ไม่ใช่ร่างกายจริงๆ และเป็นสุญญตา คือไม่มีร่างกายจริงๆ มีแต่ร่างกายมายา (ของหลอกว่าเป็นจริง) หรือร่างกายชั่วคราว (ไม่เป็นอมตะ) เท่านั้น (ยอมรับข้อนี้หรือไม่? ถ้าไม่ยอมรับก็ไม่ผ่านเพราะไม่ยอมรับความจริง) (๑๔) ข้อต่อไปก็คือ จิตหรือใจ ก็คือ สิ่งที่รู้สึกนึกคิดได้ ดังนั้นถ้ารู้สึกนึกคิดได้ ก็เท่ากับมีจิตใจ แต่ถ้ารู้สึกนึกคิดไม่ได้ ก็เท่ากับไม่มีจิตใจ (ยอมรับข้อนี้หรือไม่? ถ้าไม่ยอมรับก็ไม่ผ่านเพราะไม่ยอมรับความจริง) (๑๕) ข้อต่อไปก็คือ จิตหรือใจ จะประกอบด้วย การรับรู้ (วิญญาณ), การจำสิ่งที่รับรู้ได้ (สัญญา), ความรู้สึกสิ่งที่รับรู้ได้ (เวทนา), และการคิดนึก-ปรุงแต่ง (สังขาร) (ยอมรับข้อนี้หรือไม่? ถ้าไม่ยอมรับก็ไม่ผ่านเพราะไม่ยอมรับความจริง) (๑๖) ข้อต่อไปก็คือ จิตใจจะต้องอาศัยร่างกายเกิดขึ้นเสมอ เราไม่เคยมีจิตใจโดยไม่มีร่างกายเลย (ยอมรับข้อนี้หรือไม่? ถ้าไม่ยอมรับก็ไม่ผ่านเพราะไม่ยอมรับความจริง) (๑๗) ข้อต่อไปก็คือ เมื่อเวลาที่เราหลับสนิทและไม่ฝันนั้น ก็เท่ากับไม่มีความรู้สึกนึกคิด ซึ่งก็เท่ากับไม่มีจิต แต่เมื่อตื่นจึงจะเกิดจิตหรือความรู้สึกนึกคิดขึ้นมา (ส่วนเวลาหลับแต่ก็ยังฝันได้นั้น ก็คือการเกิดจิตขึ้นมาแล้วแต่ว่ายังไม่สมบูรณ์เต็มที่) ซึ่งนี่ก็คือการเกิดและดับของจิต (ยอมรับข้อนี้หรือไม่? ถ้าไม่ยอมรับก็ไม่ผ่านเพราะไม่ยอมรับความจริง) (๑๘) ข้อต่อไปก็คือ เมื่อจิตใจต้องอาศัยร่างกายเกิดขึ้น และมีการเกิด-ดับ นี่ก็แสดงว่า จิตใจเป็นสิ่งปรุงแต่ง ที่มีความไม่เที่ยง และไม่ใช่ตัวตนที่แท้จริงที่จะยึดถือว่าเป็นตัวเราได้จริง หรือเท่ากับว่า มันไม่มีตัวเราอยู่จริงในจิตใจนี้ (ยอมรับข้อนี้หรือไม่? ถ้าไม่ยอมรับก็ไม่ผ่านเพราะไม่ยอมรับความจริง) (๑๙) ข้อต่อไปก็คือ เมื่อเราเข้าใจอย่างแจ่มชัดว่า มันไม่มีตัวเราอยู่จริงดังนี้แล้ว บวกกับเราก็มีสมาธิอยู่บ้าง ก็จะทำให้ความยึดถือว่าจิตใจนี้คือตัวเรา และร่างกายนี้คือร่างกายของเรา รวมทั้งความยึดถือว่าสิ่งต่างๆที่เกี่ยวข้อง (เช่น พ่อ แม่ ลูก เมีย ทรัพย์สมบัติ เป็นต้น) ว่าเป็นของเราด้วย นี้ดับหายไปหรือลดน้อยลงได้ (แม้เพียงชั่วคราว) (ยอมรับข้อนี้หรือไม่? ถ้าไม่ยอมรับก็ไม่ผ่านเพราะไม่ยอมรับความจริง) (๒๐) ข้อต่อไปก็คือ เมื่อความยึดถือดับหายไปหรือลดน้อยลง ความทุกข์ก็จะดับหายไปหรือลดน้อยลงด้วย (แม้เพียงชั่วคราว) (ยอมรับข้อนี้หรือไม่? ถ้าไม่ยอมรับก็ไม่ผ่านเพราะไม่ยอมรับความจริง) (๒๑) ข้อต่อไปก็คือ เมื่อจิตไม่มีความทุกข์ มันก็จะกลับคืนมาสู่ความสงบเย็น (แม้เพียงชั่วคราว) ตามธรรมชาติของมัน ซึ่งความสงบเย็นนี้เองที่สมมติเรียกว่า นิพพาน ที่แปลตรงๆว่า เย็น (ยอมรับข้อนี้หรือไม่? ถ้าไม่ยอมรับก็ไม่ผ่านเพราะไม่ยอมรับความจริง) (๒๒) ข้อต่อไปก็คือ เมื่อนิพพานปรากฏ (แม้เพียงชั่วคราว) ก็แสดงว่าเราได้ค้นพบสิ่งที่เป็นประโยชน์สูงสุดสำหรับชีวิตแล้ว (แม้เพียงชั่วคราว) ซึ่งนิพพานหรือความสงบเย็นนี้เองที่ได้หล่อเลี้ยงจิตใจของเราเอาไว้ ไม่ให้เป็นบ้าตายเพราะมีแต่ความทุกข์ (ทั้งความทุกข์อ่อนๆและความทุกข์ที่รุนแรง) ท่วมทับจิตใจอยู่ตลอดทั้งวัน (ยอมรับข้อนี้หรือไม่? ถ้าไม่ยอมรับก็ไม่ผ่านเพราะไม่ยอมรับความจริง) (๒๓) ข้อต่อไปก็คือ เมื่อเราได้ค้นพบสิ่งสูงสุดสำหรับชีวิตแล้ว ก็แสดงว่าเราค้นพบวิธีการปฏิบัติที่จะทำให้ชีวิตได้รับสิ่งสูงสุดหรือนิพพานแล้ว (ยอมรับข้อนี้หรือไม่? ถ้าไม่ยอมรับก็ไม่ผ่านเพราะไม่ยอมรับความจริง) (๒๔) ข้อสุดท้ายก็คือ เมื่อเราค้นพบวิธีการปฏิบัติที่จะทำให้นิพพานปรากฏแล้ว ก็แสดงว่าเราเกิดความเห็นแจ้งชีวิตอย่างแท้จริงแล้ว และนี่ก็แสดงถึงว่า เราได้ค้นพบคำสอนที่แท้จริงของพระพุทธเจ้าแล้ว โดยไม่จำเป็นต้องเชื่อจากใคร หรือจากตำราใดๆ ซึ่ง(ยอมรับข้อนี้หรือไม่? ถ้าไม่ยอมรับก็ไม่ผ่านเพราะไม่ยอมรับความจริง) สรุปได้ว่า ชีวิตของมนุษย์เราทุกคนนี้ก็เหมือนหุ่นยนต์ คือไม่ได้มีตัวตนเป็นของตนเองเลย เพราะทั้งร่างกายและจิตใจ ล้วนเป็นสิ่งปรุงแต่งขึ้นมาจากสิ่งอื่นทั้งสิ้น ซึ่งเมื่อชีวิตเกิดขึ้นมาแล้ว ก็ต้องมาพบกับความทุกข์ ที่เกิดขึ้นมาจากความยึดถือว่า ร่างกายและจิตใจนี้คือตัวเรา-ของเรา ซึ่งความทุกข์นี้เองที่เป็นภัยอันใหญ่หลวงของทุกชีวิต และความหลุดพ้นจากความทุกข์ที่ภัยอันใหญ่หลวงของชีวิตนี้เองที่เป็นสิ่งสูงสุดสำหรับชีวิต โดยวิธีการปฏิบัติเพื่อให้จิตหลุดพ้นจากความทุกข์ตามหลักของพระพุทธเจ้านั้นก็สรุปอยู่ที่ การมีความเข้าใจอย่างถูกต้องและแจ่มชัดว่า ร่างกายและจิตใจที่สมมติเรียกกันว่าเป็นตัวเรา-ของเรานี้ มันไม่ใช่ร่างกายและจิตใจของเราเองจริงๆเลย เพราะมันเป็นเพียงสิ่งปรุงแต่งให้เกิดขึ้นมาเป็นตัวตนเพียงชั่วคราวเท่านั้น และเมื่อมีเข้าใจเช่นนี้แล้ว ก็ให้นำความเข้าใจนี้มาเพ่งดู (ด้วยสมาธิ) จากร่างกายและจิตใจของเราเองในปัจจุบัน อย่างจริงจังและต่อเนื่อง ก็จะทำให้ความยึดถือว่า ร่างกายและจิตใจนี้คือตัวเรา-ของเรา ลดน้อยลงหรือดับหายไปได้ (แม้เพียงชั่วคราว) เมื่อความยึดถือดับหายไป ความทุกข์ที่เกิดขึ้นจากความยึดถือ ก็จะดับหายตามไปด้วยทันที เมื่อจิตไม่มีความทุกข์ ความสงบเย็นหรือนิพพานก็จะปรากฏ (แม้เพียงชั่วคราว) เมื่อนิพพานปรากฏ ก็แสดงว่าเราเกิดความเห็นแจ้งชีวิต และเห็นแจ้งว่าพระพุทธเจ้าสอนอะไร? ด้วยสติปัญญาของเราเองแล้ว โดยไม่จำเป็นต้องเชื่อจากใครๆหรือจากตำราใดๆทั้งสิ้น เตชปญฺโญ ภิกขุ. ๑๔ มกราคม ๒๕๕๙
|