พลังงาน-สสารและจิต

หลักวิทยาศาสตร์ที่ว่า "สสารทุกอย่าง ไม่หายไปไหนนอกจากเปลี่ยนรูปไปเป็นพลังงาน" นั้นมันเป็นการอธิบายถึงความรู้ทางด้านวัตถุ ไม่ใช่ทางด้านจิตซึ่งเป็นนามธรรม (ธรรมชาติที่ไม่มีรูปร่างเหมือนวัตถุ มีแต่ชื่อเรียกเท่านั้น) ดังนั้นหลักการนี้จึงใช้ไม่ได้กับเรื่องทางจิตใจ

วิทยาศาสตร์บอกว่า วัตถุนั้นสามารถเปลี่ยนเป็นพลังงานได้ และพลังงานก็สามารถเปลี่ยนกลับมาเป็นวัตถุได้ ดังนั้นมันจึงเท่ากับว่าวัตถุหรือสสารทั้งหลายจะไม่มีการสูญหายไป เพียงแค่มันเปลี่ยนรูปไปเป็นอย่างอื่นแทนเท่านั้น แต่ถ้ามีคำถามว่า ความทุกข์ที่เกิดขึ้นมาแล้วดับหายไปนั้น มันไปไหนหรือมันเปลี่ยนไปเป็นอะไร? วิทยาศาสตร์ก็ตอบไม่ได้ สรุปว่าหลักการนี้มันเป็นความจริงเฉพาะด้านวัตถุเท่านั้น จะนำหลักการนี้มาใช้กับเรื่องทางจิตไม่ได้ เพราะความจริงเรื่องของจิตจะไม่เหมือนความจริงเรื่องของวัตถุ

จิตนี้เป็นแค่เพียงธรรมชาติอย่างหนึ่ง ที่ต้องอาศัยรูปหรือวัตถุที่เหมาะสมเพื่อเกิดขึ้นมา เหมือนไฟฟ้าที่เป็นเพียงการเคลื่อนที่ของอิเลคตรอน จากอะตอมหนึ่งไปยังอะตอมหนึ่งอย่างรวดเร็วเท่านั้น แต่การเคลื่อนที่ของอิเลคตรอนนี้มันก็ทำให้เกิดพลังงานหรือสิ่งอื่นๆขึ้นมาได้ เช่น แสง ความร้อน แรงแม่เหล็ก เป็นต้น ถ้าถามว่า เมื่อไฟฟ้าเกิดขึ้นมาแล้วดับหายไป มันหายไปไหนหรือเปลี่ยนรูปไปเป็นอะไร? นักวิทยาศาสตร์ก็ต้องตอบว่า ไฟฟ้ามันไม่ได้ดับหายไปไหนหรือเปลี่ยนเป็นอะไร เพราะไฟฟ้ามันเป็นแค่การเคลื่อนที่ของอิเลคตรอนเท่านั้น เมื่อมันเคลื่อนที่ มันก็ทำให้เกิดสิ่งอื่นขึ้นมาได้ แต่เมื่อมันหยุดเคลื่อนที่ มันก็ไม่ทำให้เกิดอะไรขึ้นมาได้ เท่านั้นเอง

เรื่องทางจิตนี้ เราต้องศึกษาจากจิตของเราเองจริงๆจึงจะเป็นวิทยาศาสตร์ทางด้านจิต โดยมีกฎสูงสุดของธรรมชาติที่ครอบงำทั้งวัตถุและจิตอยู่ว่า "ทุกสิ่งที่เกิดขึ้น ต้องมีจากเหตุและปัจจัยมาร่วมกันปรุงแต่งให้เกิดขึ้น" ซึ่งกฎนี้จะสรุปว่า “เมื่อมีเหตุ จึงมีผล เมื่อไม่มีเหตุ ก็ไม่มีผล และ ไม่มีสิ่งใดที่จะเกิดขึ้นมาได้เองลอยๆโดยไม่มีเหตุ” ซึ่งกฎนี้จะพูดถึงเรื่องการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับหายไปของทุกสิ่ง โดยมีผลเป็นความเข้าใจถึงความเป็นอนัตตา (ความไม่ใช่ตัวตนที่แท้จริง) ของสังขาร (สิ่งปรุงแต่ง) ทั้งหลาย ซึ่งความเข้าใจนี้จะเป็นปัญญาสำหรับนำมาใช้ปฏิบัติคู่กับสมาธิในการดับทุกข์ของจิตใจในปัจจุบัน

จิต ก็คือ สิ่งที่รู้สึกนึกคิดได้ ซึ่งจิตจะประกอบด้วย ๑.การรับรู้ (วิญญาณ) ๒.การจำสิ่งที่รับรู้ได้ (สัญญา) ๓.ความรู้สึก (เวทนา) และ๔.สังขาร (การปรุงแต่งคิดนึกของจิต) โดยการรับรู้ก็ต้องอาศัยระบบประสาทของร่างกายที่ยังไม่ตายเกิดขึ้น คือต้องอาศัยตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ (สมอง) เช่น ต้องอาศัยตา จึงเกิดการรับรู้รูป ต้องอาศัยหู จึงเกิดการรับรู้เสียง เป็นต้น เมื่อมีการรับรู้แล้วก็จะเกิดการจำสิ่งที่รับรู้ได้ เมื่อจำได้แล้วก็จะเกิดความรู้สึกขึ้น เมื่อเกิดความรู้สึกขึ้นแล้วก็จะเกิดการคิดนึกปรุงแต่งต่อไปทันที แต่ถ้าไม่มีร่างกายที่ยังไม่ตาย ก็จะไม่มีระบบประสาท เมื่อไม่มีระบบประสาท ก็จะไม่มีวิญญาณ และถ้าไม่มีวิญญาณก็จะไม่มีการจำได้ ไม่มีความรู้สึก และไม่มีการคิดนึกปรุงแต่ง หรือก็เท่ากับไม่มีจิตนั่นเอง

จุดสำคัญที่เราต้องศึกษาให้เข้าใจก็คือ เรื่องวิญญาณ หรือการรับรู้ ที่มันเหมือนกับไฟฟ้าในทางวัตถุ คือเมื่อมีเส้นแรงแม่เหล็กมาตัดผ่านขดลวด ก็จะทำให้อิเลคตรอนของอะตอมในขดลวดนั้นเคลื่อนที่ แล้วทำให้เกิดไฟฟ้าขึ้น หรือเมื่อเอาแผ่นทองแดงกับแผ่นสังกะสีมาใส่ในน้ำกรด ก็จะเกิดไฟฟ้าขึ้นมาระหว่างแผ่นทองแดงกับสังกะสีนั้น หรือเมื่อเอาแผ่นโซล่าร์เซลล์มาให้ถูกแสงแดด ก็จะเกิดไฟฟ้าขึ้นมาที่แผ่นโซล่าร์เซลล์นั้นทันที ส่วนวิญญาณหรือการรับรู้นั้น มันก็ต้องอาศัยระบบประสาทของร่างกายมันจึงเกิดขึ้นมาได้ ถ้าไม่มีระบบประสาทของร่างกาย หรือระบบประสาทใดเสีย ก็จะไม่มีการรับรู้เกิดขึ้นมาที่ระบบประสาทนั้น อย่างเช่น ถ้าตาบอด ก็จะมองไม่เห็น ถ้าหูหนวกก็จะไม่ได้ยินเสียง เป็นต้น ซึ่งนี่คือความจริงตามหลักวิทยาศาสตร์ที่เราพิสูจน์ได้โดยไม่ต้องเชื่อจากตำราใดๆหรือจากใครๆ

ที่นี้การรับรู้ (วิญญาณ) นี้เมื่อเกิดขึ้นมาแล้วก็มาทำให้เกิดเป็นจิตขึ้นมา แต่เมื่อวิญญาณดับหายไป ก็ย่อมที่จะทำให้จิตพลอยดับหายตามไปด้วย ซึ่งเมื่อจิตดับหายไปแล้ว จิตมันจะเปลี่ยนไปเป็นเป็นอะไรได้ เพราะตัวตนจริงๆของจิตมันไม่มี เพราะมันเป็นเพียงสิ่งที่เกิดขึ้นมาจากการปรุงแต่งหรือสร้างขึ้นมาจากสิ่งอื่นเท่านั้น ซึ่งนี่ก็คือความจริงเรื่องการเกิดและดับของจิต ที่เราทุกคนก็สามารถรับรู้หรือสัมผัสได้เองจริงๆ โดยไม่ใช้ความเชื่อใดๆ

ส่วนคนที่เชื่อเรื่องการเวียนว่ายตายเกิดเพื่อมารับผลกรรมเก่านั้น ก็จะอ้างหลักวิทยาศาสตร์ที่ว่า "สสารทุกอย่าง ไม่หายไปไหนนอกจากเปลี่ยนรูปไปเป็นพลังงาน" เพื่อมาบอกว่า เมื่อจิตดับไปแล้ว มันก็จะเปลี่ยนรูปไปเป็นพลังงานอย่างหนึ่ง (ที่อธิบายไม่ได้ว่าเป็นพลังงานอะไร)  ซึ่งพลังงานนี้จะถูกส่งออกไปเหมือนคลื่นวิทยุ เพื่อทำให้เกิดจิตใหม่ขึ้นมาเพื่อมารับผลกรรมเก่าตามที่เชื่อกันอยู่ 

สรุปว่า การเอาหลักวิทยาศาสตร์ที่ว่า "สสารทุกอย่าง ไม่หายไปไหนนอกจากเปลี่ยนรูปไปเป็นพลังงาน" มาอ้างว่า จิตก็เป็นพลังงานอย่างหนึ่ง เมื่อจิตดับไปแล้วมันก็ต้องไม่สูญหายไปไหน เพียงแค่มันเปลี่ยนรูปไป แล้วจะกลับมาเกิดเป็นจิตใหม่เพื่อรับผลกรรมเก่า ซึ่งการอ้างนี้มันเป็นการอ้างเพื่อให้มารองรับความเชื่อเรื่องการเวียนว่ายตายเกิดทางร่างกายเท่านั้น เพราะหลักการนี้เป็นหลักการที่ใช้เฉพาะกับวัตถุเท่านั้น จะนำมาใช้กับจิตไม่ได้ แต่คนที่ไม่เข้าใจก็จะนำหลักนี้มาอ้างเพราะความที่ไม่ได้ศึกษาหลักพุทธศาสนาให้เข้าใจอย่างถูกต้อง

เตชปัญโญ ภิกขุ

อาศรมพุทธบุตร เกาะสีชัง ชลบุรี

๑๙ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๕๘

ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.whatami.net

*********************
หน้ารวมบทความ
*********************