ความขัดแย้งระหว่างความเชื่อกับความจริง

************

เรื่องถ้าเข้าใจอนัตตาผิดก็จะไม่รู้จักพุทธศาสนา

ชาวพุทธที่ไม่ได้ศึกษาหลักคำสอนของพระพุทธเจ้าให้เข้าใจอย่างถูกต้อง ก็จะมีความเชื่อกัน (ผิดๆ) ว่า จิตที่รู้สึกว่าเป็นตัวเรานี้ ถ้ามันยังมีกิเลสอยู่ มันจะไม่ดับหายไปแม้ร่างกายจะตายไปแล้ว คือกิเลสนั่นเองที่จะเป็นเหตุให้เกิดจิตขึ้นมาได้ใหม่อีกเรื่อยไป ซึ่งจากความเชื่อนี้เองที่เป็นต้นเหตุให้เกิดความเชื่อเรื่องการเวียนว่ายตาย-เกิดเพื่อมารับผลกรรมเก่า รวมทั้งเรื่องนรกใต้ดิน สวรรค์บนฟ้า ผี เทวดา นางฟ้า เป็นต้น ขึ้นมา

แต่ในความเป็นจริงนั้น คำสอนเรื่องการเวียนว่ายตาย-เกิดเพื่อมารับผลกรรมเก่า รวมทั้งเรื่องนรกใต้ดิน สวรรค์บนฟ้า ผี เทวดา นางฟ้า เป็นต้นนี้ ไม่ใช่คำสอนที่แท้จริงของพระพุทธเจ้า แต่เป็นคำสอนของศาสนาพราหมณ์ (หรือฮินดู) ที่ปลอมปนเข้ามาอยู่ในคำสอนของพุทธศาสนา มาช้านานแล้วโดยชาวพุทธไม่รู้ตัว

หลักคำสอนของศาสนาพราหมณ์นั้นจะสอนว่า จิต (หรือวิญญาณ) ของคนเรานี้เป็นอัตตา คือเป็นตัวตนของมันเอง ดังนั้นมันจึงไม่จำเป็นต้องอาศัยสิ่งอื่นใดมาปรุงแต่งหรือสร้างมันขึ้น เพราะมันสามารถที่จะตั้งอยู่ (ทรงตัวอยู่) ได้ด้วยตัวของมันเอง มันเพียงมาอาศัยร่างกายอยู่ชั่วคราวเท่านั้น เมื่อร่างกายตายมันก็จะสามารถเกิดขึ้นมาได้ในร่างกายใหม่เรื่อยไป ซึ่งนี่ก็คือสาเหตุที่ทำให้เกิดความเชื่อเรื่องการเวียนว่ายตาย-เกิดเพื่อมารับผลกรรมเก่า รวมทั้งเรื่องนรกใต้ดิน สวรรค์บนฟ้า ผี เทวดา นางฟ้า เป็นต้นขึ้นมา เพื่อมารองรับจิตที่เป็นอัตตาภายหลังความตายของร่างกายนั่นเอง และความเชื่อนี้ก็ได้ประยุกติใหม่กลายมาเป็นคำสอนเรื่องจิตเป็นอนัตตา (ไม่ใช่อัตตา) ของพุทธศาสนาไปอย่างเช่นในปัจจุบัน

คำว่า อนัตตา ของพระพุทธเจ้านั้นแปลตรงๆก็แปลว่า ไม่ใช่อัตตา คือหมายถึงเป็นการปฏิเสธหรือไม่ยอมรับความเป็นอัตตาอย่างที่ศาสนาพราหมณ์สอน คือศาสนาพราหมณ์สอนว่าจิตเป็นอัตตาคือเป็นตัวตนที่สามารถเวียนว่ายตาย-เกิดได้ แต่พระพุทธเจ้าสอนว่าจิตไม่เป็นอัตตาคือมันไม่ใช่ตัวตนที่สามารถเวียนว่ายตาย-เกิดได้ และเมื่อจิตไม่ใช่อัตตา จึงทำให้ความเชื่อเรื่องการเวียนว่ายตาย-เกิดเพื่อมารับผลกรรมเก่า รวมทั้งเรื่องนรกใต้ดิน สวรรค์บนฟ้า ผี เทวดา นางฟ้า เป็นต้นนั้น ไม่ใช่คำสอนที่แท้จริงของพระพุทธเจ้า

คำสอนเรื่องจิตเป็นอัตตาของศาสนาพราหมณ์นั้น เป็นแค่ความเชื่อที่ไม่มีเหตุผลมาอธิบายให้เข้าใจได้ และไม่มีของจริงมายืนยัน เพราะเป็นคำสอนระดับศีลธรรมที่จำเป็นต้องใช้ความเชื่อเป็นตัวนำในการปฏิบัติ เพื่อให้ชีวิตมีความปกติสุขและสังคมมีความสงบสุข สำหรับเอาไว้สอนคนที่ยังมีความรู้ด้านวิทยาศาสตร์น้อย ซึ่งพุทธศาสนาก็ยอมรับเอาไว้ในฐานะว่าเป็นคำสอนระดับศีลธรรมของพุทธศาสนาเท่านั้น ไม่ได้รับเอาไว้ในฐานะว่าเป็นคำสอนที่แท้จริงระดับสูงของพุทธศาสนา ที่เป็นคำสอนเรื่องการดับทุกข์ของจิตในในปัจจุบันโดยใช้ปัญญาเป็นตัวนำ

การที่จะเข้าใจความหมายของคำว่าอนัตตาได้อย่างถูกต้องนั้น เราจะต้องใช้เหตุผลจากความจริงตามหลักวิทยาศาสตร์มาพิจารณาเท่านั้น จึงจะเข้าใจได้อย่างถูกต้อง จะใช้ความเชื่อตามตำราหรือจากใครๆไม่ได้เด็ดขาด (แม้จากพระพุทธเจ้าเองก็ตาม) ถ้าเราใช้ความเชื่อเข้ามาศึกษา ก็จะทำให้เข้าใจความหมายของอนัตตาผิดเพี้ยนไปทันที แล้วก็จะไม่รู้จักพุทธศาสนาอย่างถูกต้อง เพราะเรื่องอนัตตานี้เป็นหัวใจของปัญญาในพุทธศาสนาเลยทีเดียว

ความเข้าใจที่ผิดของชาวพุทธที่สำคัญที่สุดก็คือ เรื่องที่ว่าจิตสามารถเวียนว่ายตาย-เกิดเพื่อมารับผลกรรมเก่าได้ คือชาวพุทธเข้าใจผิดไปว่า คำสอนของพระพุทธเจ้าที่บอกว่าจิตเป็นอนัตตานั้นก็หมายถึง จิตไม่ได้ล่องลอยออกจากร่างกาย เพื่อไปเกิดใหม่โดยตรงอย่างที่ศาสนาพราหมณ์สอน แต่มันก็สามารถที่จะเกิดขึ้นมาได้ใหม่โดยอ้อม คือจิตจะอาศัยสิ่งอื่นมาเป็นเหตุให้เกิดขึ้นมาได้ใหม่แทน ซึ่งสิ่งที่มาเป็นเหตุให้เกิดจิตขึ้นมาใหม่เพื่อมารับผลจากกรรมเก่านั้นก็คือ กิเลส (หรืออวิชชา หรือตัณหา หรือวิบากกรรม) นั้นเอง คือกลายเป็นว่า แม้จิตจะเป็นอนัตตา แต่มันก็สามารถเวียนว่ายตาย-เกิดได้ เหมือนความเชื่อว่าจิตเป็นอัตตาของศาสนาพราหมณ์นั่นเอง เพียงแต่การเกิดใหม่นี้จะเป็นแบบโดยอ้อม ไม่ใช่โดยตรงแบบที่ศาสนาพราหมณ์สอน แต่สิ่งที่เหมือนกันก็คือเรื่องการเวียนว่ายตาย-เกิดเพื่อมารับผลกรรมเก่า (การกระทำของตัวเอง) รวมทั้งเรื่องนรกใต้ดิน สวรรค์บนฟ้า ผี เทวดา นางฟ้า เป็นต้นนั่นเอง ซึ่งความเข้าใจผิดนี้เองที่เป็นความเห็นผิดจากความเป็นจริงของธรรมชาติ เมื่อเป็นความเห็นผิดมันก็ไม่ใช่ปัญญา (ความรอบรู้ในเรื่องการดับทุกข์) ที่จะนำมาใช้ปฏิบัติเพื่อดับทุกข์ของจิตใจในปัจจุบัน ตามหลักอริยสัจ ๔ ของพระพุทธเจ้าได้

ความหมายของคำว่า อนัตตา ที่แท้จริงนั้นก็คือ มันไม่ใช่ตัวตนของตนเอง เมื่อมันไม่ใช่ตัวตนของมันเอง ก็แสดงว่า มันเป็นสิ่งที่ต้องอาศัยสิ่งอื่นมาปรุงแต่ง (หรือสร้าง หรือประกอบ หรือทำ) ให้เกิดขึ้นมา เมื่อมันต้องอาศัยสิ่งอื่นมาปรุงแต่งให้เกิดขึ้นมา ดังนั้นจึงเท่ากับว่าจะหาตัวตนจริงๆที่เป็นแก่นแท้หรือตัวตนถาวร (หรือตัวตนอมตะ) ของมันไม่มี อย่างเช่น แอปเปิลผลหนึ่งก็ต้องอาศัยดิน น้ำ แสงแดด และอากาศบริสุทธิ์ มาร่วมกันปรุงแต่งให้เกิดขึ้น หรือร่างกายของเรานี้ก็ต้องอาศัยอาหาร น้ำ ความร้อน และอากาศบริสุทธิ์ มาปรุงแต่งให้เกิดขึ้น หรืออย่างเช่น จิตของเรานี้ก็ต้องอาศัยการรับรู้ (วิญญาณขันธ์) การจำได้ (สัญญาขันธ์) ความรู้สึก (เวทนาขันธ์) และ การปรุงแต่งของจิต (สังขารขันธ์) มาร่วมกันปรุงแต่ให้เกิดขึ้น เป็นต้น คือเราจะหาตัวตนจริงๆของผลแอปเปิล และร่างกาย รวมทั้งจิตใจของเราไม่มี จะมีก็เพียงสิ่งที่ธรรมชาติปรุงแต่งให้เกิดขึ้นมาเท่านั้น ซึ่งสิ่งที่ถูกปรุงแต่งให้เกิดขึ้นมานี้จะมีความไม่เที่ยง (อนิจจัง) มีสภาวะที่ต้องทนอยู่ (ทุกขัง) และไม่ใช่ตัวตนที่แท้จริง (อนัตตา)

สรุปได้ว่า ถ้าเราจะเข้าใจหลักอนัตตาอย่างถูกต้องตรงตามที่พระพุทธเจ้าสอนแล้ว เราก็จะเข้าใจได้เองว่า คำสอนเรื่องการเวียนว่ายตายเกิดเพื่อมารับผลกรรมเก่า เป็นต้นนั้น ไม่ใช่คำสอนที่แท้จริงของพระพุทธเจ้าเลย เพราะคำสอนเช่นนี้เป็นคำสอนที่ตรงข้ามกับหลักอนัตตาอย่างเต็มที่ คือเป็นคำสอนที่ว่า ถ้าจิตนี้ยังมีกิเลสอยู่มันก็ยังจะมีการเกิดขึ้นมาใหม่สืบต่อเอาไว้ได้เรื่อยไป แม้มันจะดับไปแล้วจากร่างกายเก่าก็ตาม จนทำให้เกิดความเชื่อเรื่องผี เปรต เทวดา นางฟ้า และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย เป็นต้นขึ้นมา แต่ถ้าเราจะเข้าใจหลักอนัตตาอย่างถูกต้องแล้ว เรื่องพวกนี้จะไม่เกิดขึ้น เพราะมีปัญญาที่เข้าใจและเห็นแจ้งชีวิตและโลกอย่างถูกต้อง ตามความเป็นจริงของธรรมชาติแล้ว ซึ่งปัญญานี้เองที่นำมาใช้คู่กับสมาธิ (โดยมีศีลเป็นพื้นฐานอยู่ก่อนแล้ว) ในการปฏิบัติเพื่อดับทุกข์ของจิตใจในปัจจุบัน ตามหลักอริยสัจ ๔ ของพระพุทธเจ้า

เตชปัญโญ ภิกขุ

อาศรมพุทธบุตร เกาะสีชัง ชลบุรี

๑๖ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๕๘

ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.whatami.net

*********************
หน้ารวมบทความ
*********************