ความขัดแย้งระหว่างความเชื่อกับความจริง

************

เรื่องพระสงฆ์

ชาวพุทธที่ไม่ได้ศึกษาหลักคำสอนของพระพุทธเจ้าให้เข้าใจอย่างถูกต้อง ก็จะมีความเชื่อกัน (ผิดๆ) ว่า พระสงฆ์คือบุคคลที่เป็นชาย โกนหัว ห่มผ้าเหลือง ไม่ทำการงาน อาศัยอยู่ที่วัดหรือตามป่าเขาหรือถ้ำ ขออาหารจากชาวบ้านมาเลี้ยงชีพ และมีกิจวัตรหลักๆคือ สวดมนต์ นั่งสมาธิ เรียนธรรมะ สอนหรือเผยแพร่ธรรมะสู่ประชาชน ดูและรักษาวัด โดยพระสงฆ์ในปัจจุบันจะได้รับทำเชิญไปสวดมนต์งานพิธีต่างๆเช่น งานทำบุญบ้าน งานแต่งงาน งานศพ เป็นต้น

แต่ในความเป็นจริงนั้น พระสงฆ์จะมีอยู่ ๒ ประเภท คือ สมมติสงฆ์ กับ อริยสงฆ์ โดยสมมติสงฆ์ก็คือ ชายที่โกนหัวห่มผ้าเหลืองอาศัยขออาหารจากชาวบ้านมาเลี้ยงชีพนั่นเอง โดยสมมติสงฆ์ก็คือบุคคลที่สมมติกันขึ้นมาว่าเป็นผู้ที่ปฏิบัติตามพระธรรม (หลักอริยสัจ ๔) เพื่อดับทุกข์ตามคำสอนของพระพุทธเจ้า และเรียกว่า ภิกขุ หรือภิกษุ ที่หมายถึง ผู้ขออาหาร  (สมัยพุทธกาลก็มีผู้หญิงที่เป็นภิกษุด้วย เรียกว่า ภิกษุณี แต่ปัจจุบันในนิกายเถรวาทถือว่าไม่มีภิกษุณีแล้ว) แต่เมื่อมีภิกษุมารวมกันตั้งแต่ ๔ รูปขึ้นไปจะเรียกว่า พระสงฆ์ ที่หมายถึง หมู่คณะ โดยภิกษุนี้ดั้งเดิมบวชมาเพื่อปฏิบัติตามหลักอริยมรรคเพื่อความหลุดพ้นจากความทุกข์ แต่ในปัจจุบันจุดประสงค์ในการบวชเปลี่ยนแปลงไปเป็นการบวชตามประเพณีบ้าง บวชรักษาศาสนาบ้าง บวชเพื่อเลี้ยงชีพบ้าง บวชแอบแฝงเพื่อแสวงหาเงินทองชื่อเสียงบ้าง เป็นต้น โดยไม่ได้ปรารถนาที่จะปฏิบัติเพื่อความพ้นทุกข์อย่างแท้จริงดังแต่ก่อน แต่ถึงจะมีภิกษุที่บวชเพื่อพ้นทุกข์บ้างก็มีน้อยจนหาแทบไม่เจอ หรือที่เจอก็มักจะปฏิบัติผิดเพี้ยนไปจากคำสอนที่แท้จริงของพระพุทธเจ้าอีก เพราะไม่เข้าใจว่าแท้จริงแล้วพระพุทธเจ้าสอนอะไร?

ส่วน อริยสงฆ์ หมายถึง สงฆ์ผู้ประเสริฐ คือหมายถึงผู้ที่ปฏิบัติตามพระธรรมของพระพุทธเจ้าเพื่อความพ้นทุกข์อย่างแท้จริง โดยความเป็นพระสงฆ์นี้ไม่ได้อยู่ที่ร่างกายแต่อยู่ที่จิตใจที่ประเสริฐเพราะมีกิเลสน้อย ตลอดจนไม่มีเลยอย่างถาวร ดังนั้นความเป็นอริยสงฆ์จึงมีได้ทั้งในผู้ที่บวชเป็นภิกษุและทั้งผู้ที่ไม่ได้บวช โดยพระอริยสงฆ์นี้ตามสมมติก็มีอยู่ ๔ ประเภทคือ (๑) พระโสดาบัน ที่เป็นผู้ที่เริ่มมีดวงตาเห็นธรรม (เห็นแจ้งอริยสัจ ๔ แล้ว) และมีความทุกข์น้อย (๒) พระสกิทาคามี คือผู้ที่มีความทุกข์น้อยลงมากกว่าพระโสดาบัน (๓) พระอนาคามี คือผู้ที่ไม่ยินดีในกามารมณ์แล้วและมีความทุกข์เบาบางลงมาก (๔) พระอรหันต์ คือผู้ที่ไม่มีความทุกข์แล้วอย่างถาวร ซึ่งพระอริยสงฆ์นี้แม้มีเพียงรูปเดียวก็เรียกว่าเป็นพระสงฆ์ได้ (เรื่องพระอริยสงฆ์นี้เป็นเรื่องส่วนตัวที่เราไม่สามารถไปล่วงรู้ได้ว่าใครเป็นอริยสงฆ์จริง มีแต่ตำราว่าไว้อย่างนี้ อีกทั้งเรื่องพระอริยสงฆ์นี้พระพุทธเจ้าก็บอกว่าเป็นเรื่องอจินไตย คือเป็นเรื่องที่ผู้เริ่มต้นศึกษาไม่ควรสนใจนำมาศึกษาอย่างละเอียด เพราะไม่เป็นประโยชน์แก่การศึกษาและปฏิบัติเพื่อดับทุกข์)

การที่จะบรรลุถึงความเป็นพระอริยบุคคลขั้นต้นหรือพระโสดาบันได้นั้น จะต้องมีดวงตาเห็นธรรมก่อน คือจะต้องมีปัญญาที่เข้าใจเรื่องความเป็นอนิจจัง (ไม่เที่ยง) ทุกขัง (สภาวะที่ต้องทน) และ อนัตตา (ความไม่ใช่ตัวตนที่แท้จริง) รวมทั้ง สุญญตา (ความว่างจากตัวเรา) ของขันธ์ทั้ง ๕ (สรุปคือร่างกาย กับจิตใจ) ที่สมมติเรียกว่าเป็นตัวเรา-ของเรานี้อย่างแจ่มชัด แล้วนำความเข้าใจนี้มาเพ่งพิจารณาดูจากร่างกายและจิตใจของเราเองอย่างตั้งใจ (ด้วยสมาธิ) โดยมีศีลเป็นพื้นฐานอยู่ก่อนแล้ว จนจิตยอมรับความจริงว่า มันไม่มีตัวเราอยู่จริง แล้วจิตก็จะปล่อยวางความยึดถือว่าร่างกายและจิตใจนี้คือตัวเรา-ของเราลง (แม้เพียงชั่วคราว) เมื่อจิตไม่มีความยึดถือว่ามีตัวเรา-ของเรา มันก็ไม่มีความทุกข์ (เช่น ความเศร้าโศก หรือความเสียใจ ความคับแค้นใจ ความไม่สบายใจ เป็นต้น ที่เกิดขึ้นมาจากความยึดถือว่าร่างกายและจิตใจนี้คือตัวเรา-ของเรา) เมื่อจิตไม่มีความทุกข์ มันก็จะสงบเย็นหรือที่เราสมมติเรียกกันว่านิพพาน (แม้เพียงชั่วคราว) และเมื่อนิพพานปรากฏ ก็เท่ากับเป็นการยืนยันว่าหลักอริยสัจ ๔ อันเป็นคำสอนของพระพุทธเจ้านี้ดับทุกข์ได้จริง (แม้เพียงชั่วคราว) ซึ่งนี่ก็คือ การเห็นธรรม (เห็นอริยสัจ ๔) หรือการมี ดวงตาเห็นธรรม (มีปัญญาเห็นแจ้งอริยสัจ ๔ ของพระพุทธเจ้า)

สรุปได้ว่าพระสงฆ์นั้นมีทั้งสมมติสงฆ์และอริยสงฆ์ โดยสมมติสงฆ์นั้นยังไม่ใช่สงฆ์ที่เป็นสาวกที่แท้จริงของพระพุทธเจ้า เพราะท่านยังเป็นเพียงผู้ที่ได้รับการสมมติว่าปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้าเท่านั้น จะต้องเป็นอริยสงฆ์เท่านั้นจึงจะเป็นสาวกที่แท้จริงของพระพุทธเจ้าได้ ส่วนการเป็นอริยสงฆ์นั้นจะต้องมีการศึกษาและปฏิบัติตามหลักอริยสัจ ๔ อย่างเคร่งครัดและจริงจัง จนมีดวงดาเห็นธรรมก่อน จึงจะเป็นอริยสงฆ์ขั้นต้นได้ ซึ่งแม้ผู้ที่ไม่ได้บวชเป็นภิกษุก็เป็นอริยสงฆ์ขั้นต้นๆได้ และถ้ามีการปฏิบัติต่อไป ก็จะเลื่อนไปเป็นอริยสงฆ์ขั้นสูงสุด คือพ้นทุกข์อย่างสิ้นเชิงหรือถาวร (ตลอดชีวิต) ได้  

เตชปัญโญ ภิกขุ

อาศรมพุทธบุตร เกาะสีชัง ชลบุรี

๑๗ เมษายน พ.ศ. ๒๕๕๘

ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.whatami.net

*********************
หน้ารวมบทความ
*********************