ความขัดแย้งระหว่างความเชื่อกับความจริง

************

เรื่องตำราเชื่อได้หรือไม่?

ชาวพุทธที่ไม่ได้ศึกษาหลักคำสอนของพระพุทธเจ้าให้เข้าใจอย่างถูกต้อง ก็จะมีความเชื่อกัน (ผิดๆ) ว่า คำสอนของพระพุทธเจ้าที่บันทึกอยู่ในตำรานั้นไม่ผิดเพี้ยน เพราะมีพระอรหันต์มากมายได้ช่วยกันทำสังคายนา (ตรวจทานแก้ไขคำผิด)มาแล้วหลายครั้ง ดังนั้นถ้าใครมาพูดว่าตำรานั้นได้เคยถูกแก้ไขให้ผิดเพี้ยนมาก่อนก็จะไม่พอใจ แล้วเขาก็จะบอกให้ไปหาหลักฐานมายืนยัน ว่าตำรานั้นเคยถูกแก้ไขมาก่อน ไม่อย่างนั้นเขาจะไปยอมรับ

แต่ในความเป็นจริงนั้นตำรานั้นเพียงสิ่งที่ใช้บันทึกคำสอนหรือภาษาพูดของมนุษย์เท่านั้น ดังนั้นตำราจึงอาจถูกแก้ไขเปลี่ยนแปลงให้ผิดเพี้ยนไปจากต้นฉบับเดิมได้ ซึ่งพระพุทธเจ้าก็ต้องทรงทราบเรื่องนี้อยู่แล้ว ดังนั้นพระพุทธองค์จึงได้ทรงวางหลักเอาไว้แล้วในหลักกาลามสูตร (หลักความเชื่อของพุทธศาสนา) ว่า “อย่าเชื่อว่าเป็นความจริงเพียงเพราะเหตุว่ามีตำราอ้างอิง” เพื่อป้องกันไม่ให้สาวกไปยึดติดตราจนอาจทำให้ได้รับคำสอนที่ผิดเพี้ยนได้ แต่ต่อมาหลักการนี้กลับถูกละเลยไม่มีสาวกคนใดนำมาศึกษาและปฏิบัติอย่างจริง ถึงจะมีก็ได้พยายามแปลความหมายใหม่ให้ดูอ่อนลง คือได้ให้ความหมายไปว่า หลักกาลามสูตรนี้ใช้เฉพาะสำหรับคนที่ไม่ได้นับถือพุทธศาสนาบ้าง หรือใช้เฉพาะกลุ่มคนหรือเฉพาะช่วงเวลา (ไม่ได้ใช้ทั่วไป) บ้าง หรือถ้าพิจารณาไตร่ตรองดีแล้วก็เชื่อได้ หรือใช้เฉพาะคนที่มีปัญญาแล้ว แต่ถ้ายังไม่มีปัญญาก็ให้เชื่อไว้ก่อน เป็นต้น จึงทำให้คำสอนที่แท้จริงของพระพุทธเจ้าเรื่องการดับทุกข์ (หรืออริยสัจ ๔) เลอะเลือนไป เพราะมีการนำเอาคำสอนที่ไม่ใช่คำสอนที่แท้จริงของพระพุทธเจ้าเข้ามาปะปน (อันได้แก่คำสอนของศาสนาพราหมณ์หรือฮินดู ที่สอนเรื่องการเวียนว่ายตายเกิดเพื่อรับผลกรรมเก่า หรือความเชื่อเรื่องอัตตา ซึ่งเป็นหลักคำสอนที่ตรงข้ามกับหลักอนัตตาของพระพุทธเจ้า) จนทำให้คำสอนที่แท้จริงของพระพุทธเจ้าถูกแก้ไขเปลี่ยนแปลงไปจนผิดเพี้ยนไปจากความเป็นจริง แล้วคนรุ่นหลังก็ได้ยึดถือคำสอนที่ผิดเพี้ยนว่าเป็นคำสอนที่แท้จริงของพระพุทธเจ้ามาจนถึงปัจจุบัน โดยไม่มีใครฉุกคิดเลยว่าคำสอนที่นับถืออยู่นี้อาจะเป็นคำสอนที่ผิดเพี้ยนมาก่อนก็ได้ สรุปก็คือทำให้ปัจจุบันชาวพุทธได้รับคำสอนที่ปลอมปนหรือผิดเพี้ยนมาเชื่อถือและปฏิบัติรวมทั้งศึกษากันอย่างจริงจัง     

แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่า คำสอนใดคือคำสอนที่แท้จริงของพระพุทธเจ้า? ซึ่งแน่นอนว่าพระพุทธเจ้าทรงเป็นถึงสุดยอดอัจฉริยะ ดังนั้นพระพุทธองค์ก็ต้องมีวิธีการที่จะทำให้สาวกค้นพบคำสอนของพระพุทธองค์ได้โดยไม่ต้องเชื่อจากตำราหรือจากใครๆทั้งสิ้น แต่ก็ต้องปฏิบัติตามวิธีการนี้อย่างเคร่งครัดและจริงจังด้วย ซึ่งวิธีการนั้นก็คือให้นำเอาคำสอนที่ได้ฟัง (หรืออ่าน) มานั้นมาพิจารณาดูก่อนว่ามีโทษหรือมีประโยชน์ และวิญญูชน (ผู้มีปัญญาและมีใจเป็นกลาง) ติเตียนหรือไม่ติเตียน ถ้าพิจาณาแล้วเห็นว่ามีโทษ และวิญญูชนติเตียน ก็อย่าเชื่อให้ทิ้งไปเสีย แต่ถ้าพิจารณาดูแล้วเห็นว่าไม่มีโทษ แต่มีประโยชน์ และวิญญูชนไม่ติเตียน ก็อย่าเพิ่งเชื่อ ให้นำมาพิสูจน์ด้วยการทดลองปฏิบัติดูก่อน ถ้าปฏิบัติดูแล้วอย่างเต็มความสามารถ แล้วไม่เกิดผลจริงก็ให้ละทิ้งไป แต่ถ้าปฏิบัติดูแล้วอย่างเต็มความสามารถ แล้วบังเกิดผลจริงจึงค่อยปลงใจเชื่อ และรับเอามาปฏิบัติให้ยิ่งๆขึ้นต่อไป 

สรุปได้ว่า พระพุทธเจ้าไม่ได้สอนให้เชื่อตำราหรือใครๆ หรือหลักฐานใดๆ แต่สอนให้นำเอาคำสอนที่ได้รับมานั้นมาพิจารณาไตร่ตรองดูก่อน แล้วจึงนำมาพิสูจน์ด้วยการลงมือปฏิบัติอย่างจริงจัง ถ้าไม่ได้ผลก็อย่าเชื่อ แต่ถ้าได้ผลจึงค่อยปลงใจเชื่อ ซึ่งนี่เป็นหลักที่พระพุทธเจ้าได้ทรงวางเอาไว้ให้สาวกปฏิบัติ เพื่อที่สาวกรุ่นหลังจะได้ค้นพบคำสอนที่แท้จริงของพระพุทธองค์ด้วยสติปัญญาของตนเอง โดยไม่เชื่อจากตำราใดๆหรือจากใครๆทั้งสิ้น จึงเป็นเรื่องที่ชาวพุทธต้องสนใจที่จะนำหลักการนี้มาศึกษาและปฏิบัติอย่างเคร่งครัดและจริงจัง เพื่อที่จะได้ค้นพบคำสอนที่แท้จริงของพระพุทธเจ้า และจะได้นำคำสอนที่แท้จริงของพระพุทธเจ้ามาปฏิบัติให้เป็นประโยชน์แก่ชีวิตและสังคมกันต่อไป  

เตชปัญโญ ภิกขุ

อาศรมพุทธบุตร เกาะสีชัง ชลบุรี

๔ เมษายน พ.ศ. ๒๕๕๘

ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.whatami.net

*********************
หน้ารวมบทความ
*********************