ความขัดแย้งระหว่างความเชื่อกับความจริง ************ เรื่องการปฏิรูปพุทธศาสนา ชาวพุทธที่ไม่ได้ศึกษาหลักคำสอนของพระพุทธเจ้าให้เข้าใจอย่างถูกต้อง ก็จะมีความเชื่อกัน (ผิดๆ) ว่า การปฏิรูปพุทธศาสนานั้นต้องนำคำสอนในตำราพุทธศาสนามาปรับปรุงให้เข้ากับยุคสมัย โดยยังคงรักษาเรื่องความเชื่อตามตำราเอาไว้ดังเดิม จึงจะทำให้พุทธศาสนาเจริญขึ้นมาได้ในสังคมชาวพุทธ แต่ในความเป็นจริงนั้นการปฏิรูปพุทธศาสนานั้น จะต้องปฏิรูปหลักการศึกษาพุทธศาสนาใหม่ให้เป็นวิทยาศาสตร์ จึงจะเป็นที่ยอมรับของคนยุคใหม่ที่ไม่เชื่อเรื่องที่ไม่มีเหตุผลและพิสูจน์ไม่ได้ คือเนื้อหาในตำราพุทธศาสนาทั้งหมดนั้น จะมีคำสอนที่เป็นทั้งเรื่องระดับศีลธรรมที่ต้องใช้ความเชื่อเป็นตัวนำไปสู่การปฏิบัติ ที่เอาไว้สอนเด็กและชาวบ้านทั่วไป และคำสอนที่เป็นเรื่องระดับสูง (ปรมัตถธรรม) ที่ต้องใช้ปัญญาเป็นตัวนำไปสู่การปฏิบัติ ที่เอาไว้สอนคนที่มีปัญญาหรือมีความรู้หลักวิทยาศาสตร์มากพอ เช่น นักวิทยาศาสตร์ นักคิด นักเขียน นักเรียน ครูอาจารย์ นิสิตนักศึกษา เป็นต้น ถ้าเรายังคงนำเอาเรื่องความเชื่อระดับศีลธรรม มาสอนในโรงเรียนหรือมหาวิทยาลัย แม้จะมีการประยุกติให้เหมาะสมกับยุคสมัยอย่างไร ก็ไม่สามารถทำให้พุทธศาสนาเจริญขึ้นมาได้ ไม่ต้องพูดถึงเรื่องจะเผยแพร่ไปยังต่างประเทศ เพราะความเชื่อเป็นเรื่องเฉพาะของบุคคลในกลุ่มหรือในประเทศเท่านั้น แต่ไม่เป็นที่ยอมรับของบุคคลหรือกลุ่มหรือประเทศที่มีความเชื่อที่แตกต่างกัน แต่ถ้าเราเอาคำสอนที่มีเหตุผล พิสูจน์ได้ รวมทั้งมีประโยชน์กับชีวิตของมนุษย์ทุกคนอย่างแท้จริงของพุทธศาสนามาเผยแพร่ ก็เป็นที่แน่นอนว่าจะได้รับการยอมรับจากผู้ที่มีปัญญาที่มีอยู่ทั่วโลก ซึ่งก็จะทำให้พุทธศาสนาเจริญรุ่งเรืองขึ้นมาในโลกทันที ปัจจุบันโลกมีความเจริญทางด้านวิทยาศาสตร์เป็นอย่างมาก ซึ่งหลักหัวใจของวิทยาศาสตร์ก็คือ ศึกษาจากสิ่งที่มีอยู่จริง ศึกษาโดยใช้เหตุใช้ผลจากสิ่งที่มีอยู่จริง ศึกษาอย่างเป็นระบบ และจะเชื่อก็ต่อเมื่อได้มีการพิสูจน์จนเห็นผลอย่างแน่ชัดแล้วเท่านั้น ซึ่งมันสวนทางกับความเชื่อที่ไม่มีเหตุผลมาอธิบายให้เข้าใจได้ รวมทั้งไม่มีของจริงมายืนยัน จึงทำให้ความเชื่อถูกท้าทายและมีคนที่ไม่เชื่อหรือไม่มีศาสนามากขึ้นในโลก มหาวิทยาลัยนั้นเป็นสถานที่สำหรับสอนผู้ที่มีความรู้ ซึ่งผู้ที่มีความรู้ก็ต้องเป็นผู้ที่มีหลักการ มีเหตุผล และมีความเข้าใจได้ว่าสิ่งใดเป็นประโยชน์ สิ่งใดเป็นโทษ แต่เมื่อเรานำเอาเรื่องความเชื่อที่ไม่มีเหตุผล ไม่มีหลักการ แต่แม้จะมีประโยชน์ไปให้เขา ก็จะไม่เป็นที่ยอมรับ เพราะมันขัดแย้งกับหลักการของเขา จะต้องเอาเรื่องที่มีหลักการ มีเหตุผล และเป็นประโยชน์เท่านั้นไปให้เขา จึงจะเป็นที่ยอมรับ เพราะมันตรงกับหลักการของเขา คำสอนระดับสูงของพระพุทธเจ้านั้น เป็นคำสอนที่มีประโยชน์สูงสุดสำหรับมนุษย์ทุกคน และยังเป็นคำสอนที่มีเหตุผลมาอธิบายให้เข้าใจได้ รวมทั้งมีความจริงมาให้พิสูจน์ได้อีกด้วย ซึ่งคำสอนระดับสูงนี้ก็ได้แก่คำสอนเรื่องการปฏิบัติเพื่อให้จิตหลุดพ้นจากความทุกข์ ที่เกิดอยู่ในชีวิตจริงของมนุษย์ ที่เป็นปัญหาใหญ่หลวงที่สุดสำหรับมนุษย์ทุกคน ที่เรียกว่าอริยสัจ ๔ แต่ก่อนจะศึกษาอริยสัจ ๔ นั้น เราจะต้องรู้จักหลักพื้นฐานในการศึกษาคำสอนระดับสูงของพระพุทธเจ้าเสียก่อน เราจึงจะศึกษาได้ถูกต้องจนเกิดความเข้าใจและเห็นแจ้งอริยสัจ ๔ ได้ ถ้าไม่รู้จักก็จะศึกษาผิดแล้วก็จะไม่เกิดความเข้าใจและเห็นแจ้งอริยสัจ ๔ ได้ โดยหลักพื้นฐานในการศึกษาอริยสัจ ๔ นั้น สรุปแล้วก็ได้แก่ หลักอจินไตย ๔ (เรื่องที่ไม่ควรศึกษา ๔ เรื่อง) หลักกาลามสูตร (วิธีการสร้างความเชื่อให้ถูกต้อง) และ หลักสันทิฏฐิโก (การศึกษาจากร่างกายและจิตใจของเราเอง) สรุปได้ว่าการที่จะปฏิรูปพุทธศาสนาให้ได้ผล จะต้องปฏิรูปที่การศึกษาพุทธศาสนา โดยเอาเรื่องที่เป็นความเชื่อที่ไม่มีเหตุผล พิสูจน์ไม่ได้ ออกไปจากระบบการศึกษาก่อน แล้วเอาเรื่องที่เป็นวิทยาศาสตร์ มีเหตุผล พิสูจน์ได้ และเป็นประโยชน์อย่างแท้จริงแก่มนุษย์ทุกคนเข้ามาแทน จึงจะทำให้เป็นที่ยอมรับของผู้คนในยุคที่วิทยาศาสตร์กำลังเจริญรุ่งเรืองอยู่นี้ และเมื่อพุทธศาสนาเจริญก็ย่อมจะส่งผลทำให้ประเทศชาติมีความเจริญรุ่งเรืองอย่างมั่นคงตามไปด้วย เตชปัญโญ ภิกขุ อาศรมพุทธบุตร เกาะสีชัง ชลบุรี ๓๑ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๕๘ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.whatami.net
|