ความขัดแย้งระหว่างความเชื่อกับความจริง ************ เรื่องสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ชาวพุทธที่ไม่ได้ศึกษาหลักคำสอนของพระพุทธเจ้าให้เข้าใจอย่างถูกต้อง ก็จะมีความเชื่อกัน (ผิดๆ) ว่า พุทธศาสนาเป็นศาสนาที่เชื่อในเรื่องเทพเจ้าหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ คือ เชื่อว่ามีเทพเจ้ามากมาย เช่น พระอิศวร พระวิษณุ พระพรหม พระนารายณ์ พระอินทร์ และแม้แต่เทวดาชั้นต่ำๆ หรือเจ้าที่เจ้าทาง รวมทั้งผีทั้งหลายด้วย เป็นต้น ที่มีอำนาจดลบันดาลให้สิ่งเกิดที่เหนือธรรมชาติได้ ดังนั้นเมื่อเราบูชาเทพเจ้า (หรือเรียกว่าการบูชายัญ เช่น การฆ่าสัตว์บูชายัญ หรือการสละทรัพย์ถวายแก่เทพเจ้า รวมทั้งการถือศีล การทรมานร่างกาย และการสวดมนต์อ้อนวอนเทพเจ้า เป็นต้น) ก็จะทำให้เทพเจ้าสงสารและช่วยดลบันดาลสิ่งที่เราปรารถนาได้ เช่น คุ้มครองให้ชีวิตแคล้วคลาดปลอดภัย หรือช่วยให้ร่ำรวย หรือช่วยให้เพศตรงข้ามหลงรัก หรือช่วยให้มีบุตรได้ หรือช่วยให้ร่ำรวย หรือช่วยให้ชีวิตสุขสบาย หรือช่วยให้หายจากโรคร้ายต่างๆได้ หรือช่วยให้หลุดพ้นจากความทุกข์ได้ เป็นต้น แต่ในความเป็นจริงนั้น พุทธศาสนาเป็นศาสนาที่ไม่ยอมรับความเชื่อเรื่องเทพเจ้า หรือการดลบันดาลจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ คือศาสนาของโลกนี้แยกได้ ๒ ประเภท คือ ๑. เทวนิยม คือศาสนาประเภทที่ยอมรับเรื่องการมีของเทพเจ้า และการดลบันดาลของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ (บางศาสนาก็เรียกว่าพระเจ้า) โดยศาสนาประเภทเทวนิยมที่มีมาก่อนพุทธศาสนาก็คือศาสนาพราหมณ์ (ซึ่งต่อมาเปลี่ยนเป็นศาสนาฮินดู) ที่มีความเชื่อเรื่องเทพเจ้าและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เช่น เชื่อว่าพระพรหมสร้างโลกและคอยดลบันดาลชีวิตมนุษย์ พระนารายณ์คอยรักษาโลก พระวิษณุคอยทำลาย ส่วนพระอิศวรจะเป็นเทพเจ้าสูงสุด เป็นต้น และยังเชื่อว่ามีเทพเจ้าเล็กๆน้อยๆอีกมากมาย เช่น พระพิฆเนศ หนุมาน เป็นต้น ซึ่งก็รวมทั้งความเชื่อเรื่องเทวดา นางฟ้า ผี เปรต ยักษ์ ยมบาล เป็นต้นด้วย ซึ่งความเชื่อเรื่องเทพเจ้านี้ก็มาจากความเชื่อว่าจิตหรือวิญญาณของมนุษย์เรานี้เป็นอัตตา หรือตัวตนอมตะที่สามารถล่องลอยออกจากร่างกายที่ตายไปแล้วได้ ๒. อเทวนิยม คือศาสนาประเภทที่ไม่ยอมรับเรื่องการมีของเทพเจ้าและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ แต่ยอมรับเรื่องสิ่งที่มีอำนาจสูงสุดว่าได้แก่ธรรมชาติ ซึ่งเป็นนามธรรมไม่ใช่รูปธรรมอย่างเทพเจ้าทั้งหลาย ดังนั้นหลักพุทธศาสนาที่แท้จริงจะไม่มีเรื่องเทพเจ้าและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ใดๆอยู่เลย จะมีก็แต่เรื่องของความจริงตามธรรมชาติ ที่เราทุกคนก็สามารถสัมผัสได้จริงในปัจจุบันนี่เอง อย่างเช่น เมื่อเราทำความดี ก็จะเกิดความสุขใจ อิ่มใจในทันที ถ้าทำความชั่วก็จะเกิดความทุกข์ใจ ร้อนใจ ไม่สายใจในทันที หรือเมื่อยึดถือว่าร่างกายและจิตใจนี้คือตัวเรา-ของเรา จิตก็จะเกิดความทุกข์ในทันที แต่ถ้าไม่ยึดถือจิตก็จะไม่มีทุกข์หรือสงบเย็น (นิพพาน) ในทันที หรือเมื่อเราเห็นแก่ตัวจัด แล้วเบียดเบียนคน-สัตว์-ป่าไม้ ก็จะทำให้เกิดความเดือดร้อนกลับมาสู่ตัวเรา แต่ถ้าเราไม่เห็นแก่ตัว แล้วไม่เบียดเบียนใครหรือสิ่งมีชีวิตใด และช่วยเหลือผู้อื่น ก็จะทำให้เกิดความสงบสุขกลับมาสู่ตัวเรา เป็นต้น ซึ่งนี่ก็คือการดลบันดาลจากสิ่งสูงสุดที่เรียกว่า ธรรมชาติ หรือ กฎของธรรมชาตินั่นเอง สรุปได้ว่า พุทธศาสนาเป็นศาสนาประเภทอเทวนิยม คือไม่ยอมรับเรื่องการมีของเทพเจ้าทั้งหลาย รวมทั้งเรื่องสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายด้วย แต่ยอมรับเรื่องธรรมชาติที่มีอยู่จริง ที่ทุกคนเราสามารถพบเห็นหรือสัมผัสได้จริงในปัจจุบันโดยไม่ต้องเชื่อจากใครๆ ซึ่งก็ตรงกับหลักวิทยาศาสตร์ที่มีเหตุผลและสัมผัสได้จริงนั่นเอง แต่ทว่าในปัจจุบันความเชื่อเรื่องเทพเจ้าและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ได้ปลอมปนเข้ามาอยู่ในพุทธศาสนาแล้วอย่างมากมาย จนชาวพุทธเกิดความเชื่อที่ผิดๆกันขึ้น แล้วก็ทำให้เกิดการอ้อนวอนบูชาเทพเจ้าและสิ่งที่เชื่อกันว่าศักดิ์สิทธิ์ เพื่อให้ดลบันดาลที่ปรารถนาให้ จนทำให้พุทธศาสนากลายเป็นศาสนาประเภทเทวนิยมไปโดยไม่รู้ตัว จึงทำให้ชาวพุทธไม่ได้รับประโยชน์ที่แท้จริง (คือหลุดพ้นจากความทุกข์) จากคำสอนที่แท้จริงของพระพุทธเจ้าอย่างเช่นที่กำลังเป็นกันอยู่ในปัจจุบัน เตชปัญโญ ภิกขุ อาศรมพุทธบุตร เกาะสีชัง ชลบุรี ๘ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๕๘ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.whatami.net
|