คำนำ ในปัจจุบัน คำสอนของพระพุทธเจ้า ที่เป็นคำสอนเรื่องการดับทุกข์ ที่เรียกว่า อริยสัจ ๔ นั้น ได้มีการตีความแตกต่างกันออกไปมากมาย จนทำให้ผู้ที่เริ่มต้นศึกษา เกิดความเข้าใจสับสน จนทำให้ศึกษาแล้วไม่เข้าใจ ดังนั้นจึงเกิดหนังสือ พระพุทธเจ้าสอนอะไร? นี้ขึ้นมา เพื่อเอาไว้ให้ผู้ที่เริ่มต้นศึกษาคำสอนอริยสัจ ๔ จะได้ใช้เป็นหลักในการศึกษาในระดับที่สูงขึ้นต่อไป ซึ่งหนังสือนี้ ได้อธิบายคำสอนอริยสัจ ๔ โดยใช้หลักวิทยาศาสตร์ เพื่อให้คนรุ่นใหม่ได้ศึกษาให้เข้าใจง่ายขึ้น จึงขอฝากให้ผู้ที่ศึกษา ช่วยกันศึกษา และถ้าเห็นว่าหนังสือนี้พอจะมีประโยชน์ต่อเพื่อนมนุษย์อยู่บ้าง ก็ขอให้ช่วยกันเผยแพร่ต่อไปด้วยใจอันบริสุทธิ์ เพื่อช่วยให้เพื่อนมนุษย์ที่กำลังมีความทุกข์ใจ จะได้หลุดพ้นจากความทุกข์ใจ และ ช่วยให้โลกมีสันติภาพ ตามเจตนารมณ์ของพระพุทธเจ้ากันต่อไป พระออมสิน เตชปัญโญ อาศรมพุทธบุตร เกาะสีชัง ชลบุรี ๓๐ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๖๘
ภาค ๑ อริยสัจ ๔ พระพุทธเจ้าคือใคร? ก่อนอื่นเราจะต้องเข้าใจก่อนว่า พระพุทธเจ้าก็คือคนธรรมดาที่ค้นพบวิธีการดับทุกข์องจิตใจในปัจจุบันได้อย่างถาวร ชนิดที่ไม่เคยมีใครเคยพ้นพบมาก่อน และเมื่อพระองค์ได้ทรงค้นพบวิธีการดับทุกข์นี้แล้ว พระองค์ก็ได้ทรงนำสิ่งที่พระองค์ทรงทรงค้นพบนั้นมาสอนแก้ผู้ที่สนใจจะดับทุกข์ ซึ่งก็ได้มีผู้สนใจมาศึกษาวิธีการดับทุกข์กับพระองค์มากมาย แต่ต่อมาเมื่อพระองค์ปรินิพพานไปแล้ว คำสอนของพระองค์ก็ได้ถูกนำเข้ามาผสมกับคำสอนของศาสนาพราหมณ์ ที่มีหลักคำสอนที่ตรงข้ามกับคำสอนของพระองค์ แล้วก็ถูกสืบทอดมาเป็นพุทธศาสนาในปัจจุบัน โดยที่ชาวพุทธเกือบทั้งหมดไม่รู้ตัว โดยหลักคำสอนของศาสนาพราหมณ์นั้นมีหลักคำสอนว่า จิตเป็นอัตตา คือเป็นตัวตนอมตะที่สามารถออกจากร่างกายที่ตายไปแล้วเพื่อไปเกิดยังร่างกายใหม่ๆได้เรื่อยไป แต่พระพุทธเจ้ากลับมีหลักคำสอนว่า จิตเป็นอนัตตา คือ ไม่ได้เป็นอัตตาตามที่ศาสนาพราหมณ์สอน ซึ่งหลักคำสอนของพระพุทธเจ้าก็ยังเป็นวิทยาศาสตร์ คือ มีเหตุผลและพิสูจน์ได้ ที่ตรงข้ามกับหลักคำสอนของศาสนาพราหมณ์ที่มีหลักการที่เป็นไสยศาสตร์ คือ สอนให้เชื่อและปฏิบัติตามคำสอนเท่านั้น พระพุทธเจ้าสอนอะไร? ถ้าถามว่า ทำไมพระพุทธเจ้าจึงไม่สอนเรื่องการมีชีวิตที่เป็นอมตะ แต่กลับมาสอนเรื่องการดับทุกข์? ซึ่งคำตอบก็คือ เพราะพระองค์ทรงค้นพบว่า ชีวิตที่เป็นอมตะนั้นมันไม่มี ซึ่งเมื่อชีวิตที่เป็นอมตะไม่มี ก็จะเกิดคำถามว่า แล้วอะไรคือสิ่งสูงสุดของชีวิต? ซึ่งคำตอบก็คือ การมีชีวิตที่ไม่มี ความทุกข์ แต่ก็จะเกิดคำถามว่า ทำไมการมีชีวิตที่มีแต่ ความสุข ไม่ใช่สิ่งสูงสุดของชีวิต? ซึ่งคำตอบก็คือ เพราะการมีชีวิตทีมีแต่ความสุขโดยไม่มีความทุกข์นั้นเป็นไปไม่ได้ คือเมื่อมีความสุขก็ย่อมที่จะมีความทุกข์ตามมาด้วยเสมอ ไม่มีใครที่จะมีชีวิตที่ไม่มีปัญหาหรือความทุกข์ได้ ส่วนการมีชีวิตที่ไม่มีความทุกข์นั้นพระพุทธเจ้าทรงสอนว่า มันเป็นไปได้ โดยคำสอนเรื่องการดับทุกข์ที่พระพุทธเจ้าทรงค้นพบนี้เรียกว่า อริยสัจ ๔ ที่แปลว่า ความจริงอันประเสริฐ ๔ ประการ อันได้แก่ ทุกข์ คือ ความทุกข์ ซึ่งสรุปเรียกว่า ความเศร้าโศก หรือ ความเสียใจ ความไม่สบายใจ สมุทัย คือ เหตุของความทุกข์ ซึ่งสรุปอยู่ที่ กิเลส (ความยินดี-ยินร้าย) โดยมี ความเข้าใจผิดว่าจิตเป็นตัวตนที่แท้จริง เป็นต้นเหตุทำให้กิเลสเกิดขึ้น นิโรธ คือ ความดับไปของความทุกข์ ซึ่งเรานิยมเรียกว่า นิพพาน ที่หมายถึง ความเย็นใจ หรือ ความสงบเย็น มรรค (อริยมรรค) คือ วิธีการดับทุกข์ ซึ่งสรุปอยู่ที่ การใช้ปัญญากับสมาธิมาทำงานร่วมกันโดยมีศีลเป็นพื้นฐาน ความทุกข์คืออะไร? เมื่อพูดถึงคำว่า ความทุกข์ เราก็จะเข้าใจว่า หมายถึง ความแก่, ความเจ็บ, ความตาย, ความพลัดพรากจากบุคคลหรือสิ่งอันเป็นที่รัก, ความประสบกับบุคคลหรือสิ่งอันไม่เป็นที่รัก, หรือความผิดหวัง, ความไม่สบายกาย, ความไม่สบายใจ ซึ่งนี่เป็นความเข้าใจที่ผิดเป็นอย่างงมาก เพราะสิ่งเหล่านี้เป็นเพียง สิ่งที่ไม่น่าพึงพอใจ ที่มันเป็นเรื่องธรรมดาที่ต้องเกิดกับชีวิตของเราทุกคนอยู่แล้วตามธรรมชาติ ไม่มีใครจะหนีพ้นได้ แต่ถึงแม้ว่า สิ่งที่ไม่น่าพึงพอใจใด จะได้เกิดขึ้นกับชีวิตของเราแล้วก็ตาม มันก็ไม่ได้ทำให้จิตของเราเกิดความทุกข์ที่รุนแรงเลย โดยความทุกข์ในอริยสัจ ๔ ที่พระพุทธเจ้าสอนนั้นก็คือ ความที่จิตของเราไปยึดถือเอา สิ่งที่ไม่น่าพึงพอใจ นั้นว่าเป็น ตัวเรา-ของเรา (ที่เรียกว่า อุปาทาน ที่แปลว่า ความยึดมั่นถือมั่น) คือ เมื่อสิ่งที่ไม่น่าพึงพอใจใด จะได้เกิดขึ้นกับชีวิตของเรา แล้วเราก็ไปยึดถือเอาว่ามันเป็น ตัวเรา-ของเรา (คือ ยึดถือว่ามี เราแก่, เราเจ็บ, เรากำลังจะตาย เป็นต้น) และเมื่อเราไม่สามารถหนีพ้นจากมันได้ หรือไม่สามารถทำลายให้มันหายไปจากตัวเราได้ จึงทำให้เราต้องทนอยู่กับมันด้วย ความไม่อยากได้ (หรือด้วยความเกลียดชัง) อยู่ตลอดเวลา ซึ่งลองคิดดูว่า การที่เราต้องทนอยู่กับสิ่งที่เราไม่อยากได้นี้ มันเป็นความรู้สึกที่ทรมานมากมายสักเท่าใด? ซึ่งความรู้สึกทรมานใจอย่างมากที่เราต้องทนอยู่กับสิ่งที่เราไม่อยากได้นี้ก็คือ ความทุกข์ หรือ ความเศร้าโศก (ความเสียใจ), ความคับแค้นใจ, ความแห้งเหี่ยวใจ, ความไม่สบายใจอย่างมากฯ นั่นเอง แต่ถึงแม้ สิ่งที่ไม่น่าพึงพอใจ ใดก็ตาม จะได้เกิดขึ้นกับชีวิตของเราแล้วก็ตาม แต่ถ้าเราไม่ไปยึดถือว่ามันเป็น ตัวเรา-ของเรา ก็จะทำให้ความทุกข์ (ความเศร้าโศกฯ) ไม่เกิดขึ้น ซึ่งก็จะเกิดคำถามว่า เมื่อสิ่งที่ไม่น่าพึงพอใจต่างๆนั้น จะได้เกิดขึ้นกับชีวิตของเรา แล้วเราจะไม่ยึดถือว่ามันเป็น ตัวเรา-ของเรา ได้อย่างไร? ซึ่งเรื่องนี้พระพุทธเจ้าก็ได้สอนเอาไว้แล้วในหลักอริยสัจ ๔ สรุปได้ว่าจุดแรกที่เราจะต้องทำความเข้าใจให้ถูกต้องว่า สิ่งที่ไม่น่าพึงพอใจ เช่น ความแก่, ความเจ็บ, ความตาย, ความพลัดพราก เป็นต้นนั้น ยังไม่ใช่ความทุกข์ในอริยสัจ ๔ เพราะสิ่งที่ไม่น่าพึงพอใจทั้งหลายนี้ เมื่อมันเกิดขึ้นกับชีวิตของเราแล้ว มันยังไม่เป็นปัญหา เพราะมันยังไม่ได้ทำให้จิตของเราเกิดความทุกข์ที่รุนแรง แต่เป็น ความยึดถือในชีวิต (คือร่างกายกับจิตใจ) ที่กำลังประสบกับ สิ่งที่ไม่น่าพึงพอใจอยู่นั้นว่ามันเป็น ตัวเรา-ของเรา เพราะความยึดถือนี้มันทำให้จิตของเราที่ยึดถือนั้น เกิดความทุกข์ที่รุนแรงมาก (ความรู้สึกที่ทนได้ยากมาก) ซึ่งความทุกข์ที่รุนแรงมากนี้เอง ที่เป็นปัญหาใหญ่หลวง หรือเป็นสิ่งที่น่าหวาดกลัวอย่างที่สุดของเราทุกคน กิเลสอะไร? โดยสิ่งที่เป็นเหตุทำให้จิตเกิด อุปาทาน ก็คือ กิเลส คือถ้าจิตไม่มีกิเลส อุปาทานก็จะไม่มี แล้วความทุกข์ก็จะไม่มี โดย กิเลส แปลว่า สิ่งสกปรก หรือ สิ่งทำจิตให้สกปรก ซึ่งอาการของกิเลสนี้สรุปได้ ๓ อาการ คือ (๑) พอใจ หรือ ยินดี หรือ ความรัก ชอบ หรือความอยากได้ฯ (๒) ไม่พอใจ หรือ ยินร้าย หรือ โกรธ เกลียด กลัว เบื่อหน่าย หรือความไม่อยากได้ฯ (๓) ลังเลใจ หรือความไม่แน่ใจว่าจะพอใจหรือไม่พอใจดี แต่ก็ยังหลงวนเวียนอยู่กับสิ่งที่รู้สึกอยู่ด้วยความไม่รู้จริง หรือตัดสินใจไม่ได้ ซึ่งกิเลสนี้บางทีก็เรียกว่า ตัณหา ที่หมายถึง ความอยากด้วยความโงเขลา ซึ่งก็ได้แก่อาการ ความอยากได้, ความไม่อยากได้, และ ความอยากมีชีวิตอยู่ โดยกิเลสประเภท ความพึงพอใจ ก็เป็นเหตุให้จิตเกิด ความทุกข์ซ่อนเร้น อันได้แก่ ความรู้สึกรำคาญใจ ความที่จิตไม่ปรกติ ไม่สงบ ไม่เย็นใจ หรือความไม่สบายใจเล็กๆน้อยๆ ส่วนกิเลสประเภท ความไม่พึงพอใจ ก็เป็นเหตุให้จิตเกิด ความทุกข์เปิดเผย อันได้แก่ความเศร้าโศก หรือความเสียใจ, ความคับแค้นใจ ความแห้งเหี่ยวใจ หรือความไม่สบายใจอย่างรุนแรงฯ ส่วนกิเลสประเภท ความลังเลใจ ก็เป็นเหตุให้จิตเกิด ความทุกข์อ่อนๆ อันได้แก่ ความรู้สึกรำคาญใจ ความรู้สึกไม่สงบ ไม่เย็น ไม่เบาสบายฯ สรุปได้ว่าถ้าจิตเกิดกิเลสใดขึ้นมา ก็จะทำให้เกิดความยึดถือว่ามีตัวเราขึ้นมาทันที แล้วความทุกข์ก็จะเกิดขึ้นมาด้วยทันทีตามประเภทของกิเลสที่เกิดขึ้น ซึ่งกิเลสนี้บางทีก็เรียกว่า ตัณหา ที่หมายถึง ความอยากด้วยความโง่เขลา หรือ ความอยากเพื่อตัวเรา ซึ่งกิเลสหรือตัณหานี้ เมื่อเราปล่อยให้มันเกิดขึ้นกับจิตของเราบ่อยๆ มันก็จะทำให้จิตใต้สำนึกของเราเกิดความเคยชินสะสมเอาไว้ เมื่อมีสิ่งหรือเรื่องภายนอกมากระตุ้นเมื่อใด ก็จะทำให้จิตของเราเกิดกิเลสขึ้นมาได้เองทันทีอย่างรวดเร็วและรุนแรง โดยที่เราไม่ได้ตั้งใจจะให้มันเกิดขึ้น รวมทั้งเรายังไม่สามารถควบคุมมันได้อีกด้วย ซึ่งนี่เองที่เป็นปัญหาของเราทุกคน เพราะความเคยชินนี้ก็คือนิสัยหรือสันดานที่แก้ไขยาก ต้องมีความตั้งใจที่จะแก้ไขมันจริงๆรวมทั้งยังต้องมีปัญญาและสมาธิอย่างเพียงพอด้วย จึงจะแก้ไขนิสัยหรือสันดานของกิเลสนี้ได้ นิพพานคืออะไร? ก่อนอื่นเราต้องเขาใจว่า ปรกติแล้ว (คือตามธรรมดา) ในชีวิตประจำวันของเรา จิตของเรามันก็เป็น จิตว่าง คือไม่ได้มีกิเลสเกิดขึ้นมาครอบงำอยู่แล้วบ่อยๆ ซึ่งจิตว่างนี้มันก็ไม่ได้มีความทุกข์อยู่แล้ว ซึ่งจิตที่ไม่มีความทุกข์นี้จะมี ความสงบ (ไม่ดิ้นรน), เย็น (ไม่มีความร้อนใจ), เบา (ไม่มีความหนัก-เหนื่อยใจ), สบาย (ไม่มีความรู้สึกทนได้ยาก) อยู่แล้วเป็นพื้นฐาน โดยความสงบเย็นของจิตขณะที่จิตไม่มีความทุกข์นี้เองที่เรียกเป็นภาษาบาลีว่า นิพพาน ที่แปลตรงๆว่า เย็น คือหมายถึง จิตที่เย็นเพราะไม่มีความทุกข์ นั่นเอง แต่เมื่อใดที่มี สิ่งหรือเรื่องต่างๆ มาสัมผัสจิต แล้วจิตได้ปรุงแต่ง (ทำ,สร้าง) ให้กิเลสเกิดขึ้นมา จึงทำให้จิตเกิดความทุกข์เกิดขึ้นมาทันที แต่ถึงแม้จะมีสิ่งหรือเรื่องต่างๆเกิดขึ้นมาก็ตาม ถ้าจิตไม่ได้ปรุงแต่งกิเลสให้เกิดขึ้นมา จิตก็จะกลับคืนมานิพพานได้อีกเหมือนเดิม ซึ่งในชีวิตประจำวันของเราทุกคนก็จะเป็นอยู่อย่างนี้ โดยการที่กิเลสจะดับหายหรือไม่มีนั้น ก็สามารถเกิดขึ้นได้ ๒ อย่าง คือ (๑) เกิดขึ้นได้เองตามธรรมชาติ คือเมื่อจิตมันถูกกิเลสแผดเผามากๆเข้า จิตมันก็อ่อนล้าแล้วกิเลสมันก็จะดับหายไปได้เองเหมือนกัน (แม้เพียงชั่วคราว) (๒) เกิดขึ้นจากการที่จิตมีสมาธิ ซึ่งสมาธินี้ก็จะมีคุณสมบัติทำให้กิเลสระงับหรือดับหายไปได้ (แม้เพียงชั่วคราว) สรุปได้ว่า กิเลสนี้เหมือนอาคันตุกะหรือผู้ที่มาเยือนเราเป็นครั้งคราวเท่านั้น คือเมื่อกิเลสเกิดขึ้น ความทุกข์จึงค่อยเกิดขึ้น แต่เมื่อกิเลสดับหายไป ความทุกข์ก็จะหายตามไปด้วยทันที (แม้เพียงชั่วคราว) และเมื่อจิตไม่มีความทุกข์ มันก็จะนิพพานหรือสงบเย็นทันที (แม้เพียงชั่วคราว) ซึ่งนี่ก็แสดงถึงจริงว่า ปกติ (คือเป็นประจำ) เราก็มีนิพพานหรือความสงบเย็นของจิตใจกันอยู่แล้วบ่อยๆในชีวิตประจำวันของเรา ซึ่งนิพพานนี่เองที่ได้หล่อเลี้ยงจิตของเราเอาไว้ให้ได้รับการพักผ่อน ถ้าไม่มีนิพพานมาหล่อเลี้ยงจิตเอาไว้ เราคงเป็นบ้าตายกันไปหมดแล้ว เพราะถูกกิเลสแผดเผาอยู่ตลอดทั้งวัน ดังนั้นเราจึงควรขอบคุณนิพพาน ด้วยการไม่เนรคุณต่อนิพพาน ด้วยการเกลียด-กลัวความสงบ แล้วหนีไปหาความสุข หรือความสนุกสนานอย่างที่ทำกันอยู่ แล้วหันมาแสวงหาความสงบเย็นให้กับชีวิตกันให้มากขึ้นต่อไป วิธีการดับทุกข์เป็นอย่างไร? พระพุทธเจ้าก็คือผู้ที่มาสอนให้เรารู้จักวิธีการดับทุกข์ ทั้งอย่างชั่วคราวและอย่างถาวร โดยวิธีการดับทุกข์นั้นสรุปอยู่ที่ ให้ใช้ปัญญากับสมาธิมาทำงานร่วมกัน โดยมีศีลเป็นพื้นฐาน โดย ศีล หมายถึง ความปรกติของจิต ที่เกิดจากการที่ เรามีเจตนาที่จะไม่เบียดเบียนชีวิต-ทรัพย์สิน-กามารมณ์ ของผู้อื่น ร่วมทั้งการมีเจตนที่จะ ไม่พูดโกหก-คำหยาบ-ส่อเสียด-เพ้อเจ้อ อยู่เป็นปกติ (คือเป็นประจำ) ส่วน สมาธิ ของมรรคก็คือ จิตที่ตั้งมั่นอยู่ในปัญญาอยู่ตลอดเวลา ซึ่งจิตที่มีสมาธิจะเป็นจิตที่บริสุทธิ์จากกิเลสทั้งปวง, มีความเข้มแข้งคือไม่มีสิ่งใดจะมายั่วยวนให้เกิดกิเลสขึ้นมาได้, และมีความอ่อนโยนที่เหมาะสมกับการทำงานทุกชนิด ส่วน ปัญญา นั้นก็คือ ความรู้ที่จะทำให้กิเลสอ่อนแรงลง โดยหัวใจของปัญญาจะอยู่ที่ ความรู้เรื่อง จิตเป็นอนัตตา ที่หมายถึง จิตไม่ใช่อัตตา หรือ ไม่ใช่ตัวตนที่เป็นเราจริงๆ ซึ่งความรู้นี้เองที่ทำให้กิเลส ที่เป็นความอยากทำอะไรๆเพื่อตัวเราอ่อนแรงลง จนกระทั่งดับหายไปจากจิตของเราได้ (แม้เพียงชั่วคราว) แล้วก็จะทำให้ความทุกข์ดับหายไปจากจิตของเราได้ (แม้เพียงชั่วคราว) แต่การที่เราจะศึกษาให้เกิดความเข้าใจเรื่อง จิตเป็นอนัตตา ได้นั้น เราก็ต้องเข้าใจความหมายของคำว่า อัตตา อย่างถูกต้องก่อน เพราะถ้าเรายังไม่เข้าใจความหมายของคำว่าอัตตาอย่างถูกต้อง เราก็จะไม่สามารถศึกษาเรื่อง จิตเป็นอนัตตา ให้เกิดความเข้าใจอย่างถูกต้องได้ จบภาค ๑ ภาค ๒ หัวใจของปัญญา อนัตตาคืออะไร? โดยตามธรรมชาติ (หรือตามธรรมดา) นั้นเราทุกคนก็ย่อมที่จะมีความรู้สึกว่า จิต ของเรานี้เป็น อัตตา คือเป็นตัวตนของเราจริงๆ ดังนั้นจึงทำให้เราเกิดความเข้าใจว่า จิตของเรานี้เป็น อัตตา ที่หมายถึง ตัวตนที่แท้จริง โดยสิ่งที่เป็น ตัวตนที่แท้จริง จะมีลักษณะ ๓ ประการ คือ (๑) อัตตา คือ มีตัวตนเป็นของมันเอง โดยไม่อาศัยสิ่งอื่นใดมาปรุงแต่ (คือทำหรือสร้าง) ให้เกิดขึ้น (๒) นิจจัง คือ เป็นสิ่งที่เที่ยง หรือเป็นอมตะ คือจะไม่มีวันตายหรือดับหายไปอย่างเด็ดขาด (๓) สุขัง คือ เป็นสิ่งที่มีแต่ความสุข คือถ้าอัตตานี้บริสุทธิ์ มันก็จะมีแต่ความสุขโดยไม่มีความทุกข์ใดๆ โดยเราจะเข้าใจว่า จิต หรือ ใจ ของเรานี้มันเป็น อัตตา (คือตัวตนอมตะ) ที่มาเกิดหรือสิงอยู่ในร่างกายที่ยังไม่ตายนี้ เมื่อร่างกายนี้ตาย จิตที่เป็นอัตตานี้ก็จะออกจากร่างกายที่ตายแล้วนี้ แล้วก็ไปเกิดยังร่างกายใหม่ได้อีกเรื่อยไป ซึ่งความเข้าใจนี้เองที่ทำให้เราเกิดความเห็นแก่ตัว แล้วก็ทำให้เราทำอะไรๆไปเพื่อตัวเรา คือ อยากได้สิ่งที่น่าพึงพอใจ, ไม่อยากได้สิ่งที่ไม่น่าพึงพอใจ, และ ลังเลใจต่อสิ่งที่ธรรมดาๆ ซึ่งอาการทั้ง ๓ นี้ก็คืออาการของกิเลสหรือตัณหานั่นเอง ซึ่งนี่แสดงถึงความจริงว่า ความเข้าใจว่า จิตเป็นอัตตา นี่เอง ที่เป็นต้นเหตุให้จิตเกิดกิเลสขึ้นมาอย่างรุนแรง หรือทำให้กิเลสมีความเข้มแข็ง แล้วก็ทำให้จิตของเราเกิดความทุกข์ขึ้นมาอย่างรุนแรง แต่ถ้าเราสามารถ ทำให้ต้นเหตุ (คือความเข้าใจว่าจิตนี้เป็นอัตตา) ของกิเลส ให้มันหายไปจากจิตได้ (แม้เพียงชั่วคราว) ก็จะทำให้กิเลสอ่อนแรงลง และดับหายไปจากจิตได้ ก็จะทำให้จิตของเราไม่มีความทุกข์ใดๆได้ (แม้เพียงชั่วคราว) แต่ก็จะเกิดคำถามขึ้นว่า เราจะทำอย่างไรจึงจะทำให้ ความเข้าใจว่า จิตนี้เป็นอัตตา หายไปจากจิตนี้ได้ ทั้งอย่างชั่วคราวและอย่างถาวร (คือตลอดชีวิต)? ซึ่งเรื่องนี้พระพุทธเจ้าก็ได้ทรงสอนเอาไว้แล้ว โดยพระองค์ทรงสอนให้เราศึกษาร่างกายและจิตใจของเรา โดยใช้เหตุใช้ผลตามความเป็นจริง ก็จะทำให้เราเกิด ความเข้าใจที่ถูกต้อง ว่า จิตเป็นอนัตตา ที่หมายถึง จิตไม่ใช่อัตตา ขึ้นมาได้ ซึ่งความรู้เรื่อง จิตเป็นอนัตตา นี้ก็เป็นความรู้ที่อยู่ในความรู้เรื่อง กฎไตรลักษณ์ ที่เป็นกฎที่ควบคุมทุกสิ่งที่เกิดขึ้นมาตามธรรมชาติเอาไว้ แต่การที่เราจะศึกษาให้เกิดความเข้าใจเรื่อง กฎไตรลักษณ์ ได้นั้น เราจำเป็นที่จะต้องศึกษาให้เข้าใจเรื่อง กฎสูงสุดของธรรมชาติ ให้เข้าใจเสียก่อน เราจึงจะศึกษาเรื่อง กฎไตรลักษณ์ ให้เกิดความเข้าใจได้อย่างถูกต้องขึ้นมาได้ เพราะกฎไตรลักษณ์ ก็ขึ้นอยู่กับ กฎสูงสุดของธรรมชาติ นี้ด้วยเหมือนกัน แต่การที่เราจะศึกษาเรื่อง กฎสูงสุดของธรรมชาติ ให้เกิดความเข้าใจขึ้นมาได้นั้น จะต้องใช้หลักวิทยาศาสตร์เท่านั้นมาศึกษา จะใช้ความเชื่อมาศึกษาไม่ได้เด็ดขาด เพราะความเชื่อเป็นศัตรูของปัญญา คือถ้าใช้ความเชื่อมาศึกษา ก็จะทำให้ไม่เกิดปัญญา แต่ถ้าใช้หลักวิทยาศาสตร์มาศึกษา จึงจะทำให้เกิดปัญญาขึ้นมาได้ ซึ่งเรื่องนี้สำคัญมาก คือเราจะต้องยึดหลักนี้ไว้ตลอดในการศึกษานี้ แต่ถ้าเราไม่ยึดหลักนี้ไว้ให้มั่นคง แล้วไปใช้ความเชื่อมาศึกษา ก็จะทำให้การศึกษาของเราผิดพลาดไปทั้งหมดทันที วิทยาศาสตร์คืออะไร? โดย วิทยาศาสตร์ ก็คือ ความรู้ที่เกิดขึ้นมาจากการสังเกตธรรมชาติที่มีอยู่จริง ซึ่งวิทยาศาสตร์นี้เป็นเครื่องมือที่ใช้ค้นหาความจริงของธรรมชาติที่ได้ผลที่สุด โดยหลักการศึกษาของวิทยาศาสตร์นั้นก็ได้แก่ (๑) ไม่เชื่อว่าคำสอนหรือทฤษฎีของใดๆว่าถูกต้องหรือเป็นความจริงล่วงหน้า (๒) ศึกษาจากสิ่งที่มีอยู่จริง (๓) ศึกษาตามเหตุตามผลจากสิ่งที่มีอยู่จริง (๔) ศึกษาอย่างเป็นระบบ คือศึกษาจากพื้นฐานไปสู่ยอดไปตามลำดับ (๕) ต้องพิสูจน์จนเห็นผลจริงอย่างแน่ชัดก่อนยอมรับเอามาปฏิบัติ สรุปได้ว่า เราจะต้องใช้หลักวิทยาศาสตร์มาศึกษาคำสอนของพระพุทธเจ้า จึงจะทำให้เกิดปัญญาตามหลักพุทธศาสนาขึ้นมาได้ จะใช้ความเชื่อมาศึกษาไม่ได้เด็ดขาด เพราะความเชื่อเป็นศัตรูของปัญญา ซึ่งเรื่องนี้เราจะต้องนำมาปฏิบัติอย่างเคร่งครัด เพราะนี่เป็นหัวใจของการศึกษาพุทธศาสนา ที่เป็นศาสนาแห่งปัญญา แต่ถ้าเราเอาความเชื่อมาศึกษา ก็จะทำให้การศึกษาของเรากลายเป็นเรื่องไสยศาสตร์ คือเป็นเรื่องงมงายไร้เหตุผลไปทันที กฎสูงสุดของธรรมชาติเป็นอย่างไร? การที่จะศึกษาให้เกิดปัญญาที่เป็น ความเข้าใจว่าจิตเป็นอนัตตา ได้นั้น ก่อนอื่นเราจะต้องรู้จักก่อนว่า ศาสนาของโลกนั้นแยกได้ ๒ ประเภท คือ (๑) ศาสนาประเภทเทวนิยม คือเป็นศาสนาที่ยอมรับ สิ่งเหนือธรรมชาติ เช่น พระเจ้า หรือ เทพเจ้า หรือ สิ่งศักดิ์ทั้งหลาย ว่าเป็น สิ่งสูงสุด คือ เป็นสิ่งที่อำนาจสูงสุดในโลกและในจักรวาล ที่สร้างทุกสิ่งทุกอย่างขึ้นมา รักษาทุกสิ่งทุกอย่างเอาไว้ ดลบันดาลให้สิ่วต่างๆเป็นไป และทำลายสิ่งต่างๆไปเมื่อถึงเวลา โดยหลักคำสอนของศาสนาประเภทเทวนิยมนี้ จะสอนให้เชื่อในสิ่งสูงสุดว่ามีอยู่จริงและให้ทำตามที่สิ่งสูงสุดสั่งสอนเอาไว้ ซึ่งศาสนาพราหมณ์ก็เป็นศาสนาประเภทเทวนิยมที่มี หลักคำสอนว่า จิตเป็นอัตตา (๒) ศาสนาประเภทอเทวนิยม คือเป็น ศาสนาที่ไม่ยอมรับสิ่งเหนือธรรมชาติว่าเป็นสิ่งสูงสุด แต่จะยอมรับ ธรรมชาติ หรือ สิ่งธรรมดาๆที่เกิดขึ้นมาให้เราได้พบเห็นหรือสัมผัสได้นี่เองว่าเป็น สิ่งสูงสุด ที่เทียบเท่ากับพระเจ้าของศาสนาประเภทเทวนิยม โดยหลักคำสอนของศาสนาประเภทอเทวนิยมนี้ จะสอนให้พึ่งตนเอง คือสอนให้พึ่งสติปัญญาและความสามารถของตนเอง โดยไม่ต้องไปอาศัยสิ่งภายนอกใดๆมาช่วยให้เราได้รับสิ่งที่อยากจะได้ พุทธศาสนานั้นเป็นศาสนาประเภทอเทวนิยม ที่สอนว่า ธรรมชาตินี้มีกฎพื้นฐานที่สำคัญที่สุดอยู่กฎหนึ่ง ที่เรียกว่า กฎสูงสุดของธรรมชาติ คือเป็นกฎที่ควบคุมทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ ซึ่งกฎนี้เรียกเป็นภาษาบาลีว่า กฎอิทัปปัจจยตา ที่หมายถึง กฎการอาศัยกันและกันแล้วเกิดขึ้นมาพร้อมกัน ซึ่งกฎอิทัปปัจจยตานี้ ก็เทียบเท่ากับ พระเจ้า ของศาสนาประเภทเทวนิยมนั่นเอง โดยกฎอิทัปปัจจยตานี้ มีใจโดยความสรุปว่า ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นจะต้องมีเหตุและปัจจัยมาปรุงแต่งให้เกิดขึ้น
(คำว่า เหตุ หมายถึง เหตุที่ใหญ่ที่สุดที่มีเพียงเหตุเดียว
ส่วนคำว่า ปัจจัย หมายถึง เหตุย่อยๆ หรือสิ่งสนับสนุน ซึ่งมีได้หลายเหตุ
ส่วนคำว่า ปรุงแต่ง หมายถึง การร่วมกันทำหรือสร้าง) ซึ่งสิ่งที่เกิดขึ้นมาจากเหตุและปัจจัยนี้เรียกว่า
สิ่งปรุงแต่ง สรุปได้ว่า พุทธศาสนาเป็นศาสนาประเภท อเทวนิยม หรือ ธรรมชาตินิยม ที่ยอมรับสิ่งที่สัมผัสได้หรือสิ่งที่พิสูจน์ได้จริงเท่านั้นว่าเป็น สิ่งสูงสุด ซึ่งการยอมรับสิ่งที่พิสูจน์ได้จริงนี้ก็ตรงกับหลักวิทยาศาสตร์ ซึ่งนี่ก็แสดงว่าพุทธศาสนาดั้งเดิมนั้นเป็นวิทยาศาสตร์ และพระพุทธเจ้าก็คือนักวิทยาศาสตร์ทางด้านจิตใจ หรือเป็นนักจิตวิทยาที่รักษาคนที่ป่วยเป็นโรคซึมเศร้าหรือโรคทุกข์ใจ ที่เกิดจาก อวิชชา หรือ ความรู้ที่ผิดจากความจริงของธรรมชาติ โดยความรู้ผิดที่เป็นหัวใจของอวิชชาก็คือ ความรู้ว่า จิตเป็นอัตตา โดยพระองค์ได้สอนให้เราเกิด วิชชา (คือความรู้สูงสุดที่ดับทุกข์ได้) หรือ ปัญญา (คือความรู้ในสิ่งที่ควรรู้) ที่เป็นความรู้ที่ถูกต้องว่า จิตเป็นอนัตตา คือ ไม่ใช่อัตตาตามที่เชื่อกันอยู่ แล้วให้เราเอาวิชชาหรือปัญญานี้มารักษาโรคความทุกข์ใจนี้ กฎไตรลักษณ์คืออะไร? โดย สิ่งปรุงแต่ง ทั้งหลาย (คือทั้งวัตถุ ร่างกาย และจิตใจ ก็เป็นสิ่งปรุงแต่งทั้งสิ้น) นั้น เมื่อมันถูกปรุงแต่งให้เกิดขึ้นมาแล้ว สภาพการปรุงแต่งของมันนั้น ก็ยังต้องตกอยู่ภายได้กฎ ๓ ประการของธรรมชาติอีก ซึ่งกฎ ๓ ประการนี้เรียกว่า กฎไตรลักษณ์ ที่หมายถึง ลักษณะ ๓ ประการของสิ่งปรุงแต่งทั้งหลาย อันได้แก่ ๑. อนัตตา แปลว่า ไม่ใช่อัตตา คือหมายถึง สิ่งปรุงแต่งทั้งหลายนั้น มันไม่ได้เป็นอัตตา หรือ ตัวตนที่แท้จริง ๒. อนิจจัง แปลว่า ไม่เที่ยง หรือ ไม่เป็นอมตะ คือไม่ช้าก็เร็ว สภาพของสิ่งปรุงแต่งทั้งหลายจะต้องแตกสลาย (ใช้กับวัตถุ) หรือดับหายไป (ใช้กับจิตใจ) อย่างแน่นอน รวมทั้งขณะที่สภาพการปรุงแต่งของมันยังตั้งอยู่ มันก็ยังมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาอีกด้วย ๓. ทุกขัง แปลว่า ต้องทนอยู่อย่างยากลำบาก คือสิ่งปรุงแต่งทั้งหลายนั้น มันต้องทนประคับประคองสภาพการปรุงแต่งของมันเอาไว้ด้วยความยากลำบาก (ถ้ามันไม่ทน มันก็จะแตกสลายหรือดับหายไปทันที) คือ มันต้องทนทั้งจากการเปลี่ยนแปลงภายในตัวของมันเองด้วย และจากการทำลายจากสิ่งภายนอกต่างๆมากมายอยู่ตลอดเวลาอีกด้วย ซึ่งจากลักษณะที่มันต้องทนอยู่อย่างยากลำบากนี้เอง เมื่อเรามาเพ่งดูมันด้วยสมาธิ ก็จะทำให้จิตของเราเกิด ความรู้สึกอิดหนาระอาใจ หรือ เกิดความรู้สึกว่ามันไม่น่ารัก-ไม่น่าพึงพอใจ ขึ้นมา ซึ่งความรู้สึกนี้ก็เป็นความหมายหนึ่งของคำว่า ทุกขัง ด้วยเหมือนกัน โดยคำสอนที่เป็นหัวใจของปัญญาที่พระพุทธเจ้าสอนไว้ก็คือคำสอนว่า ทุกสิ่งทั้งหลายทั้งปวงเป็นอนัตตา คือสิ่งทั้งหลายทั้งหลายทั้งปวงนั้นก็มีอยู่ ๒ อย่าง คือ สิ่งปรุงแต่ง กับ สิ่งที่ไม่ได้ปรุงแต่ง โดยสิ่งปรุงแต่งก็คือ สิ่งที่เกิดขึ้นมาจากเหตุและปัจจัย นั่นเอง ส่วน สิ่งที่ไม่ปรุงแต่ง นั้นก็คือ สิ่งที่มีอยู่โดยไม่อาศัยสิ่งใดมาปรุงแต่งหรือทำให้มันมีอยู่ โดย สิ่งที่ไม่ปรุงแต่งนั้นก็มีเพียง นิพพาน หรือความเย็นใจ หรือ ความสงบเย็นของจิตใจ ขณะที่มันไม่มีความทุกข์ เท่านั้น นอกนั้นจะเป็นสิ่งปรุงแต่งทั้งสิ้น โดยจิตของเรานี้ ตามความเป็นจริงแล้ว มันก็เกิดขึ้นมาจาก ร่างกายมาปรุงแต่งให้เกิดขึ้น ซึ่งลักษณะนี้มันไม่ใช่ลักษณะของอัตตา ดังนั้นจึงทำให้เราเข้าใจได้ทันที่ว่า จิตของเรานี้เป็นอนัตตา คือหมายถึง จิตไม่ได้เป็นอัตตาตามที่เราเข้าใจผิดกันอยู่ ซึ่งนี่ก็ทำให้เราเข้าใจได้ว่า ความเข้าใจว่าจิตเป็นอัตตา นั้น เป็น ความเข้าใจผิด หรือ ความเห็นผิด คือเป็นความเข้าใจผิดหรือเห็นผิดจากความเป็นจริงของธรรมชาติ โดยความเข้าใจถูกต้องว่า จิตเป็นอนัตตา นี้เอง ที่เป็นหัวใจของปัญญา เพราะเป็นความรู้ที่จะทำให้ ความเข้าใจผิดว่า จิตเป็นอัตตา หายไปจากจิตได้ (ทั้งอย่างชั่วคราวและอย่างถาวร) ซึ่งปัญญานี้เองที่พระพุทธเจ้าสอนให้เรานำมาทดลองปฏิบัติร่วมกับสมาธิ โดยมีศีลเป็นพื้นฐาน เพื่อพิสูจน์ว่า ความรู้นี้สามารถดับทุกข์ได้จริงหรือไม่? (แม้เพียงชั่วคราว) แต่เพื่อให้เกิดความเข้าใจเรื่อง จิตเป็นอนัตตา ได้อย่างละเอียดมากยิ่งขึ้น เราจะต้องมาศึกษาเรื่อง ขันธ์ ๕ อันเรื่องเป็นส่วนประกอบชอง ร่างกายและจิตใจ ของเราทุกคน ให้เกิดความเข้าใจอย่างละเอียดก่อน เราจึงจะเข้าใจเรื่อง จิตเป็นอนัตตา ได้อย่างละเอียดครบถ้วน ขันธ์ ๕ คืออะไร? การที่เราะรู้ว่าจิตใจของเรานี้เป็นอัตตาหรืออนัตตาได้นั้น ก่อนอื่น เราก็ต้องเข้าใจก่อนว่า ลักษณะของสิ่งที่เป็นอัตตานั้นเป็นอย่างไร? แล้วเราก็ต้องศึกษาให้รู้อีกด้วยว่า จิตใจของเรานั้นมันมีลักษณะอย่างไร? เมื่อเรามีความรู้ทั้ง ๒ เรื่องนี้แล้วอย่างถูกต้อง เราก็เอาลักษณะของจิตใจนั้นมาพิจาณาดูว่า มันมีลักษณะตรงกับลักษณะของอัตตาหรือไม่? ถ้าตรงก็แสดงว่าจิตใจของเรานี้เป็นอัตตา แต่ถ้าไม่ตรงกันก็แสดงว่าจิตใจของเรานี้เป็นอนัตตา (คือไม่ใช่อัตตา) ดังนั้นก่อนอื่น เราก็ต้องมาศึกษาเรื่องขันธ์ ๕ ที่เป็นองค์ประกอบของร่างกายกับจิตใจของเรา ให้เข้าใจก่อนว่ามันมีอะไรบ้าง? และมีลักษณะอย่างไร? โดย คำว่า ขันธ์ แปลว่า กลุ่ม, กอง, ส่วน คือชีวิตของเราคนเรานี้ ประกอยด้วยส่วน ๕ ส่วน อันได้แก่ ๑. รูป ที่หมายถึง ร่างกายและอวัยวะต่างๆของร่างกายที่เป็นพวกวัตถุ ที่เกิดจาก ธาตุทางวัตถุ ๔ อย่าง มาปรุงแต่ง (ทำหรือสร้าง) ให้เกิดขึ้น ซึ่งธาตุทั้ง ๔ นั้นก็ได้แก่ ธาตุดิน คือคุณสมบัติที่ค่อนแข็ง, ธาตุน้ำ คือคุณสมบัติที่เหลว, ธาตุไฟ คือคุณสมบัติที่ร้อน, ธาตุลม คือคุณสมบัติที่บางเบา แผ่กระจาย ๒. วิญญาณ หมายถึง การรับรู้ ที่เกิดขึ้นที่ ตา, หู, จมูก, ลิ้น, กาย, ใจ ของเรา อย่างเช่น เมื่อตาได้สัมผัสกับรูป ก็จะเกิดการรับรู้รูป (หรือการเห็นรูป) ขึ้นมาทันที เป็นต้น (ซึ่งวิญญาณนี้ นักวิทยาศาสตร์ค้นพบว่ามันคือไฟฟ้าอ่อน ที่ร่างกายที่ยังไม่ตายสร้างขึ้นมา ถ้าร่างกายตาย ไฟฟ้านี้ก็จะดับหายตามไปด้วย) ๓. สัญญา หมายถึง การจำสิ่งที่รับรู้ได้ คือเมื่อเกิดวิญญาณหรือการรับรู้ใดขึ้นมาแล้ว ก็จะเกิดการจำได้ว่า สิ่งที่กำลังรับรู้อยู่นั้นมันคืออะไรหรือมีความหมายอย่างไร อย่างเช่น เมื่อเกิดการเห็นรูป ก็จะเกิดการจำได้ว่ารูปที่เห็นนั้นเป็นอะไร เป็นต้น ๔. เวทนา หมายถึง ความรู้สึก คือเมื่อเกิดการรับรู้ทางใดขึ้นมาแล้วก็ตาม ก็จะเกิดความรู้สึกต่อสิ่งที่รับรู้นั้นขึ้นมาพร้อมกับสัญญาด้วยทันที อย่างเช่น เมื่อเกิดการเห็นรูป ก็จะเกิดความรู้สึกต่อรูปนั้นขึ้นมาพร้อมกับสัญญาด้วยทันที เป็นต้น ซึ่งความรู้สึกนี้ ก็แยกได้ ๓ ชนิด คือ (๑) สุขเวทนา คือความรู้สึกที่ทนได้ง่ายหรือทนได้สบาย ซึ่งเป็นความรู้สึกประเภทบวก คือน่าพึงพอใจ (๒) ทุกขเวทนา คือความรู้สึกที่ทนได้ยากหรือทนได้ลำบาก ซึ่งเป็นความรู้สึกประเภทลบ คือ ไม่น่าพึงพอใจ (๓) อทุกขมสุขเวทนา คือความรู้สึกกลางๆระหว่างบวกกับลบ (หรือจืดๆ) ๕. สังขาร หมายถึง การคิดนึกหรือการปรุงแต่ง (กิริยา) คือเมื่อเกิดเวทนาใดขึ้นมา แล้วเกิดอาการต่างๆต่อเวทนานั้นขึ้นมาด้วยทันที คือเกิดความพอใจหรืออยากได้สุขเวทนา, เกิดความไม่พอใจหรือไม่อยากได้ทุกขเวทนา, เกิดความความลังเลใจต่ออทุกขมสุขเวทนา (ซึ่งนี่ก็คืออาการของกิเลส) ซึ่งรวมทั้งการคิดพิจารณา, ความตื่นเต้น, ความหดหู่ เป็นต้น ก็จัดเป็นสังขารด้วยเหมือนกัน ขันธ์ทั้ง ๕ นี้ย่อลงเป็น รูป กับ นาม โดย รูป ก็คือ รูป ส่วน นาม ก็คือ วิญญาณ, สัญญา, เวทนา, สังขาร ที่เรานิยมเรียกกันว่า ร่างกาย กับ จิตใจ โดยคำว่า จิต หรือ ใจ นี้ก็คือสิ่งเดียวกัน แต่เมื่อมันทำหน้าที่คิดนึก เราก็เรียกว่า จิต แต่เวลามันทำหน้าที่รับรู้และรู้สึก ก็เรียกว่า ใจ แต่บางทีเราก็เรียกรวมๆกันว่า จิตใจ ที่หมายถึง สิ่งที่รู้สึกนึกคิด ซึ่งความจริงแล้วอัตตาหรือตัวตนของจิตใจนั้นไม่ได้มีอยู่จริง เพราะมันเป็นเพียงสิ่งที่ต้องอาศัยกันและกันแล้วเกิดขึ้นมาพร้อมกันตาม กฎอิทัปปัจจยตา คือมันเป็นระบบการทำงานที่มหัศจรรย์ทั้งๆที่มันก็ไม่ได้มีตัวตนเป็นของมันเอง จิตใจเป็นอัตตาหรืออนัตตา? เมื่อเรานำเอา ร่างกายของเรา มาเพ่งพิจารณาดูด้วยเหตุด้วยผลตามความเป็นจริง เราก็จะพบความจริงว่า ร่างกายก็ต้องอาศัยอาหาร, น้ำ, ความร้อน, และอากาศ ที่ดีและพอเหมาะมาปรุงแต่ง (คือร่วมกันทำ) ให้เกิดขึ้น ซึ่งนี่ก็แสดงถึงความจริงว่า ร่างกายของเรานี้มันเป็น อนัตตา คือไม่ใช่อัตตาหรือตัวตนที่แท้จริงที่จะมาเป็นตัวเราจริงๆได้ รวมทั้งร่างกายยังมีความเป็น อนิจจัง คือ ต้องแก่และตาย และมีภาวะของ ทุกขัง คือ ต้องทนอยู่อย่างยากลำบาก อีกด้วย แต่ที่สำคัญก็คือ เมื่อเรานำเอา จิตใจ ที่รู้สึกว่าเป็น ตัวเรา นี้ มาเพ่งพิจารณาด้วยเหตุผลตามความเป็นจริง เราก็จะพบความจริงว่า จิตใจก็ต้องอาศัยร่างกายที่ยังดีอยู่ (คือยังไม่ตาย) มาปรุงแต่งให้เกิดขึ้น คือ ร่างกายที่ยังไม่ตาย จะมีไฟฟ้าอ่อนๆเกิดขึ้นมาตามระบบประสาททั้งหมดของร่างกาย ซึ่งไฟฟ้าอ่อนๆที่ร่างกายสร้างขึ้นมานี้เอง ที่มันได้มาปรุงแต่งหรือทำให้เกิด การรับรู้ (วิญญาณ), การจำได้ (สัญญา), ความรู้สึก (เวทนา), และ การคิดนึก (สังขาร) ที่เป็นองค์ประกอบของจิตใจขึ้นมา ซึ่งนี่ก็แสดงถึงความจริงว่า จิตใจเป็นอนัตตา คือหมายถึง มันไม่ใช่อัตตา หรือ ตัวตนที่แท้จริงที่เป็นเรา เมื่อเราเข้าใจแล้วว่า จิตใจไม่ใช่ตัวเรา ก็จะทำให้เราเกิดความเข้าใจต่อไปได้ทันทีว่า จิตใจ นี้เป็น สุญญตา คือหมายถึง มันว่างเปล่าจากความเป็นอัตตาหรือตันตนที่แท้จริงของเรา หรือของใครๆ หรือของสิ่งใดๆทั้งสิ้น ซึ่งความรู้เรื่อง สุญญตา นี้เอง ที่เป็นปัญญาที่ทำให้กิเลสอ่อนแรงลงและดับหายไปได้ (แม้เพียงชั่วคราว) เมื่อมีสมาธิมาช่วย ตามหลักอริยมรรค สุญญตาคืออะไร? คำว่า สุญญตา แปลว่า ความว่าง ซึ่งคำนี้มีความหมายอยู่ ๓ ความหมาย อันได้แก่ ๑. ความว่างเปล่าไม่มีอะไรเลย คือหมายถึง ความว่างเปล่าไม่มีอะไรเลยทั้งวัตถุและจิตใจที่เป็นสิ่งปรุงแต่ง ๒. ความว่างจากอัตตา คือหมายถึง สิ่งปรุงแต่งทั้งหลายนั้น มันว่างจากอัตตาหรือตัวตนที่แท้จริงของมัน ๓. จิตว่าง คือหมายถึง จิตที่ว่างจากกิเลส คือ เมื่อจิตไม่มีกิเลสครอบงำ ก็เรียกว่าเป็น จิตว่าง เมื่อเราเข้าใจแล้วว่า จิตใจของเรานี้มันเป็น อนัตตา คือมันไม่ใช่อัตตาหรือตัวตนที่เป็นตัวเรา ซึ่งเมื่อเราพิจาณาถึงความเป็นอนัตตาของจิตใจด้วยสมาธิต่อไป ก็จะทำให้เราเกิดความเข้าใจที่ลึกซึ้งขึ้นมาว่า ในจิตใจที่มันรู้สึกว่ามีตัวเราอยู่นี้ มันเป็น สุญญตา คือหมายถึง มันว่างจากอัตตา หรือ ว่างจากตัวตนที่เป็นเรา ซึ่งสรุปก็คือ มันไม่มีตัวเราอยู่จริงในจิตใจนี้ ส่วนสิ่งที่มีอยู่นี้ มันก็เป็นเพียง ตัวตนชั่วคราว (คือไม่ถาวร) หรือ ตัวตนมายา (คือหลอกลวงว่าเป็นของจริง) หรือ ตัวตนสมมุติ (คือสมมุติเรียกว่าเป็นตัวตนเพื่อให้ในการสื่อสาร) เท่านั้น เมื่อเราเข้าใจถึงความว่างจากตัวเราแล้ว ก็จะทำให้เราเข้าใจถึงความว่างจากตัวตนของผู้อื่นรวมทั้งทุกสิ่งด้วย และเมื่อเรานำเอาความเข้าใจนี้มาเพ่งดูอย่างตั้งใจ (คือด้วยสมาธิ) ที่ร่างกายและจิตใจของเราเอง รวมทั้งสิ่งที่เกี่ยวข้องกับชีวิตของเรา ก็จะทำให้กิเลสอ่อนแรงลงและดับหายไป (แม้เพียงชั่วคราว) จนทำให้จิตเป็นกลายเป็น จิตว่าง ขึ้นมาได้ เพราะจิตมันเห็นแจ้งความจริงว่า ไม่มีเราหรือใครๆหรือสิ่งใดๆอยู่จริง แล้วจิตมันก็จะเกิดความรู้สึกว่า ไม่รู้จะไปรักหรือโกรธเกลียดใคร และก็ไม่รู้จะไปอยากได้ความสุขเพื่อใคร หรือเกลียดกลัวความทุกข์เพื่อใคร เพราะจิตเห็น สุญญตา คือเห็นแจ้งว่า ไม่มีใครได้ ไม่มีใครเสีย ไม่มีใครมาเกิด ไม่มีใครตาย เพราะความจริงมันไม่ได้มีเราหรือใครๆมาตั้งแต่ต้นแล้ว โดยเฉพาะความสุข ที่เราพอใจกันอย่างยิ่งก็ว่างเปล่า คือมันเกิดมาจากเหตุปัจจัย เมื่อเหตุปัจจัยมันหายไป ความสุขมันก็ต้องดับหายตามไปด้วยทันที แล้วก็เหลือเพียงความอาลัยอาวรณ์ ที่อยากให้ความสุขนั้นกลับมาอีก และถึงแม้ความสุขนั้นจะได้กลับมาอีกกี่ครั้งก็ตาม มันก็จะดับหายไปและว่างเปล่าอีกเหมือนเดิมอีก และเมื่อจิตว่างจากกิเลสและอุปาทานแล้ว มันก็จะไม่มีความทุกข์ เมื่อจิตไม่มีความทุกข์มันก็จะนิพพาน หรือ สงบเย็น หรือมีความเย็นใจ ทันที (แม้เพียงชั่วคราว) เราคืออะไร? ธรรมชาติของจิตทั้งหลาย ย่อมที่จะมีความรู้สึกว่ามี ตนเอง อยู่ด้วยทั้งสิ้น คือเมื่อจิตถูกปรุงแต่งให้เกิดขึ้นมา มันก็จะมีความรู้สึกตัวว่ามีตนเองอยู่ด้วยตามธรรมชาติ ซึ่งความรู้สึกว่ามีตนเองนี้ เรียกว่าเป็น สัญชาตญาณแห่งตัวตน ซึ่งเป็นสัญชาตญาณพื้นฐานของทุกชีวิต โดยสัญชาตญาณก็คือ ความรู้ที่เกิดขึ้นได้เองโดยไม่มีใครสอน เหมือนกับสัตว์บางชนิดที่เกิดขึ้นมาไม่กี่นาทีมันก็เดินได้เองโดยไม่มีใครสอน โดยสัญชาตญาณว่ามีตนเองนี้เป็นสัญชาตญาณใหญ่ ที่ทำให้เกิดสัญชาตญาณย่อยๆตามมาได้อีกมากมาย เช่น สัญชาตญาณในการหาอาหาร. ในการกินอาหาร, ในการหนีภัย, ในการเอาตัวรอด, ในการสืบพันธ์, ในการรักลูก, ในการเลี้ยงลูก, ในการรวมกลุ่ม เป็นต้น ถ้าสิ่งมีชีวิตใดไม่มีสัญชาตญาณพื้นฐานนี้ สิ่งมีชีวิตนั้นก็ย่อมจะสูญพันธ์ไปจากโลก พระพุทธเจ้าได้ทรงสอนเอาไว้ว่า เด็กทุกคนที่เพิ่งเกิดขึ้นมา จะมีจิตที่ประภัสสรอยู่แล้วเป็นพื้นฐาน โดยคำว่า ประภัสสร หมายถึง สว่างเหมือนมีแสงส่องออกมา เหมือนเพชรที่เจียรนัยดีแล้ว ก็จะสว่างเหมือนมีแสงส่องออกมา ซึ่งในความประภัสสรของจิตเด็กนี้ จะมีความบริสุทธิ์ คือยังไม่มี กิเลส ครอบงำ และไม่มี อุปาทาน คือ ความยึดถือว่ามีตนเองจนทำให้จิตเกิด ความทุกข์ ขึ้นมา แต่จะมี นิพพาน คือ ความสงบเย็น หรือ ความเย็นใจ หรือ ไม่มีความทุกข์ อยู่ด้วยเป็นพื้นฐาน แต่เมื่อจิตของเด็กนั้นได้สัมผัสกับโลกผ่านตา หู จมูก ลิ้น กาย แล้วเกิดเวทนาใดๆขึ้นมา แล้วจิตของเด็กนั้นไม่มีปัญญาและสมาธิเพื่อมาระวังไม่ให้จิตเกิดกิเลส จึงทำให้จิตของเด็กนั้น เริ่มเกิดกิเลสและอุปาทานขึ้นมาตามสัญชาตญาณพร้อมกับความทุกข์ และเมื่อเด็กนั้นโตขึ้น จิตของเด็กก็ย่อมที่จะเคยเกิดกิเลสมาแล้วมากมาย จึงทำให้เกิดเป็น อนุสัย หรือความเคยชินที่จะเกิดเป็น อาสวะกิเลส ขึ้นมาอีกอย่างง่ายดายและสะสมเอาไว้ในจิตใต้สำนึก จนกลายเป็น สังโยชน์ คือ เครื่องผูกจิตเอาไว้ในความทุกข์ คือจะทำให้จิตเกิดความทุกข์ขึ้นมาทันทีเมื่อมีสิ่งหรือเรื่องอะไรที่รุนแรง (เช่น ความแก่, เจ็บ, ตาย, พลัดพราก เป็นต้น) มาสัมผัสจิต แต่ถ้าผู้ใดจะได้อบรมให้เกิด ปัญญา ที่เป็นความรู้ว่า ไม่ได้มีตนเองอยู่จริง (คือเรื่องอนัตตา-สุญญตา) แล้วนำความรู้นั้นน้อมเข้ามาดูที่ชีวิต (คือร่างกายและจิตใจ) ของตนเองอย่างจริงจังและสม่ำเสมอ จนทำให้สังโยชน์หรือความเคยชินที่จะเกิดกิเลสขึ้นมาอีก ที่ฝังอยู่ในจิตใต้สำนึกของเขา ได้เลือนหายไปอย่างสิ้นเชิง (คือจะไม่มีวันกลับมาเกิดขึ้นได้อีกต่อไป) ก็จะทำให้จิตของเขาหลุดพ้นจากความทุกข์อย่างถาวรได้ แล้วจิตของเขาก็จะกลับคืนมาประภัสสรอย่างถาวร และ มีนิพพานอย่างถาวรได้ ปัญญามีกี่ระดับ? อีกอย่าง เราต้องเข้าใจว่า ปัญญา ที่หมายถึง ความรู้ในอริยสัจ ๔ นี้ มี ๓ ระดับ อันได้แก่ ๑. ปัญญาขั้นจำได้ คือ การที่เราได้ฟังหรืออ่านคำสอนที่แท้จริงของพระพุทธเจ้าเรื่องอริยสัจ ๔ มาแล้วอย่างครบถ้วน แล้วก็จำๆได้ ก็จัดว่าเรามี ปัญญาขั้นจำได้ แล้ว แต่ปัญญาขั้นนี้ยังไม่มีผลทำให้ความทุกข์ลดน้อยลงหรือดับหายๆไปได้ ๒. ปัญญาขั้นเข้าใจ คือ เมื่อเรานำเอาความเข้าใจนี้มาคิดพิจารณาหาเหตุหาผล อย่างละเอียดในทุกแง่มุมเท่าที่จำเป็น จนเกิดความเข้าใจอย่างชัดเจน ชนิดที่หาจุดผิดมาค้านไม่ได้ ก็เรียกว่าเรามี ปัญญาขั้นเข้าใจ ขึ้นมาแล้ว ซึ่งปัญญาขั้นนี้ก็มีผลเป็นความลดลงของความทุกข์บ้างแล้ว ๓. ปัญญาขั้นเห็นแจ้ง คือ เมื่อเรานำเอาความเข้าใจนี้มาพิสูจน์ ด้วยการทดลองปฏิบัติ จนเกิดผลเป็นความดับลงหรือลดลงของความทุกข์จริงๆ (แม้เพียงชั่วคราว) ก็เรียกว่าเรามี ปัญญาขั้นเห็นแจ้ง หรือ รู้จริง ขึ้นมาแล้ว ซึ่งปัญญาขั้นนี้จัดเป็นปัญญาสูงสุดของพุทธศาสนา สรุปได้ว่า ปัญญาที่เป็นความรู้ในเรื่องการดับทุกข์ตามหลักอริยสัจ ๔ นั้นมีอยู่ ๓ ระดับ คือ ปัญญาขั้นจำได้, ปัญญาขั้นเข้าใจ, และปัญญาขั้นเห็นแจ้ง ดังนั้นเมื่อเราพบคำว่า ปัญญา ในพุทธศาสนา เราก็ต้องแยกให้ออกว่าหมายถึงปัญญาขั้นไหน เราจึงจะศึกษาพุทธศาสนาแล้วเข้าใจ และเกิดปัญญาขึ้นมาได้อย่างถูกต้อง แต่ถ้าเราแยกไม่ออกว่าเป็นปัญญาขั้นไหน เราก็จะศึกษาพุทธศาสนาไม่เข้าไม่เข้าใจ สรุปวิธีการปฏิบัติเพื่อให้จิตนิพพานเป็นอย่างไร? เมื่อเราต้องใช้ชีวิตอยู่ในสังคมหรือโลก แล้วเรายังไม่มีปัญญาสำหรับนำมาใช้ดับทุกข์ตามหลักอริยสัจ ๔ ที่พระพุทธเจ้าสอนไว้ ก็จะทำให้เรากลายเป็นคนโง่เขลา (คือมีอวิชชาครอบงำ) ที่ไม่รู้วิธีการดับทุกข์ของจิตใจอย่างถูกต้อง และเมื่อเราต้องพบกับ สิ่งที่ไม่น่าพึงพอใจ (อันได้แก่ ความแก่ เจ็บ, ตาย, ความพลัดพรากจากบุคคลหรือสิ่งอันเป็นที่รัก, ความประสบกับสิ่งอันไม่เป็นที่รัก, และความผิดหวัง) จึงทำให้จิตขาดภูมิคุ้มกันกิเลส (คือความอยากได้-ไม่อยากได้) จึงทำให้จิตเกิด กิเลส จำพวก ความไม่อยากได้ ต่อ สิ่งที่ไม่น่าพึงพอใจ ที่กำลังเกิดขึ้นกับชีวิตของเราอยู่นั้นขึ้นมาทันที และเมื่อกิเลสเกิดขึ้น ก็จะทำให้ความทุกข์ หรือ ความเศร้าโศกฯ เกิดขึ้นมาทันที แต่ถ้าเรามีปัญญาที่เป็นความเข้าใจเรื่อง จิตเป็นอัตตาและสุญญตา แล้ว เมื่อเราต้องใช้ชีวิตอยู่ในโลก เราก็ต้องมีสติ คือ คอยระลึกถึงปัญญาอยู่ตลอดเวลา ในขณะที่เรากำลังการทำหน้าที่การงานที่สุจริตเพื่อเลี้ยงชีวิต ซึ่งการที่เราตั้งใจระลึกถึงปัญญาอยู่อย่างตั้งใจตลอดเวลานี้เอง ที่ทำให้จิตเกิดสมาธิที่พอเหมาะพอสมขึ้นมาโดยอัตโนมัติ ซึ่งปัญญากับสมาธิก็จะมาทำให้กิเลสอ่อนแรงลงเรื่อยๆ จนดับหายไปในที่สุด (แม้เพียงชั่วคราว) และเมื่อกิเลสดับหายไป (แม้เพียงชั่วคราว) ก็จะทำให้จิตไม่มีความทุกข์ (ไม่เศร้าโศกฯ) เมื่อจิตไม่มีความทุกข์ มันก็จะนิพพาน คือสงบเย็น หรือเย็นใจ ทันที (แม้เพียงชั่วคราว) และถ้าเราสามารถปฏิบัติได้เช่นนี้ได้อย่างต่อเนื่องนานๆ จนทำให้ความเคยชินของ กิเลส ที่มีอยู่ในจิตใต้สำนึกของเรา ได้เลือนหายไปอย่างสิ้นเชิง ก็จะทำให้ความทุกข์ ไม่เกิดขึ้นอีกอย่างถาวร แล้วจิตก็จะนิพพานถาวร สรุปคำสอนทั้งหมดของพระพุทธเจ้าได้ว่าอย่างไร? พระพุทธเจ้าได้ทรงสรุปคำสอนทั้งหมดของพระองค์ไว้ในประโยคที่ว่า สิ่งทั้งหลายอันใครๆไม่ควรยึดถือว่าเป็น ตัวเรา-ของเรา ซึ่งถ้าเราสามารถเข้าใจคำสอนนี้เพียงประโยคเดียว ก็เท่ากับเราได้รู้จักคำสอนทั้งหมดของพระพุทธเจ้าแล้ว และถ้าเราปฏิบัติได้เพียงเท่านี้ ก็เท่ากับเราได้ปฏิบัติตามคำสอนทั้งหมดของพระพุทธเจ้าแล้ว รวมทั้งถ้าเราได้รับผลจากการปฏิบัติเพียงเท่านี้ ก็เท่ากับเราได้รับผลทั้งหมดจากพุทธศาสนาแล้ว สรุปได้ว่า คำสอนทั้งหมดของพระพุทธเจ้าไม่ได้มีมากเลย คือมีเพียงคำสอนว่า อย่ายึดถือสิ่งใดๆว่าเป็นตัวเรา-ของเรา เท่านั่น คือเป็นคำสอนโดยสรุปว่า ถ้ายึดถือมันก็จะทำให้เกิดความทุกข์ แต่ถ้าเรามีสติและปัญญารวมทั้งสมาธิ ก็จะไม่เกิดความยึดถือ เมื่อจิตไม่มีความยึดถือ มันก็จะไม่มีความทุกข์ เมื่อจิตไม่มีความทุกข์ มันก็จะนิพพานคือสงบเย็น หรือกลับมามีความเย็นใจได้ตามปรกติ จบภาค ๒ ภาค ๓ หลักพุทธศาสนา หลักพื้นฐานพุทธศาสนามีว่าอย่างไร? พุทธศาสนาเป็นศาสนาที่สอนให้ใช้ปัญญาในการแก้ปัญหาหรือดับทุกข์ แต่การที่จะศึกษาให้เกิดปัญญาสำหรับนำมาดับทุกข์ได้นั้น จำเป็นที่เราจะต้องทำความเข้าใจให้ถูกต้องก่อนว่า หลักพื้นฐานในศึกษาให้เกิดปัญญานั้นเป็นอย่างไร โดยหลักพื้นฐานของพุทธศาสนานั้นสรุปอยู่ที่ ๑. มุ่งตรงสู่การดับทุกข์ คือจะมุ่งตรงสู่การดับทุกข์ของจิตใจในปัจจุบัน ๒. ไม่ใช้ความเชื่อ คือจะไม่เชื่อว่าคำสอนหรือทฤษฎีใดๆล่วงหน้าว่าถูกต้องหรือเป็นความจริง ๓. ต้องพึ่งตนเอง คือต้องพึงตนเองทั้งในการศึกษาและปฏิบัติ ๔. ศึกษาจากสิ่งที่มีอยู่จริง คือจากร่างกายและจิตใจของเราเองจริงๆ ๕. ศึกษาโดยใช้เหตุใช้ผล คือศึกษาตามเหตุตามผลจากสิ่งที่มีอยู่จริง ๖. ศึกษาอย่างเป็นระบบ คือศึกษาจากพื้นฐานไปสู่ยอดไปตามลำดับ ๗. พิสูจน์ก่อนยอมรับ คือต้องมีการพิสูจน์จนพบว่าเป็นความจริงอย่างแน่ชัดก่อน จึงค่อยยอมรับเอามาปฏิบัติให้ยิ่งๆขึ้นต่อไป สรุปได้ว่าหลักพื้นฐานของพุทธศาสนาทั้งหมดนี้ มันตรงกับหลักวิทยาศาสตร์ คือ ไม่ใช้ความเชื่อ ศึกษาจากสิ่งที่มีอยู่จริง ใช้เหตุผลในการศึกษา ศึกษาอย่างเป็นระบบ และต้องมีการพิสูจน์จนเห็นผลจริงอย่างแน่ชัดก่อนยอมรับ ซึ่งนี่ก็ทำให้เราเข้าใจได้ทันทีว่า พุทธศาสนาดั้งเดิมเป็นวิทยาศาสตร์ และ พระพุทธเจ้าก็เป็นนักวิทยาศาสตร์ทางด้านจิตใจ (คือนักจิตวิทยา) ที่มาสอนวิธีการดับทุกข์ โดยการสอนให้เราใช้เหตุผลตามความเป็นจริง มาดับทุกข์ของจิตใจในชีวิตปัจจุบัน พระพุทธเจ้าสอนเรื่องความเชื่อไว้ว่าอย่างไร? ในสมัยพุทธกาลนั้นก็ได้มีลัทธิมากมายที่สอนเรื่องความพ้นทุกข์ ซึ่งเจ้าลัทธิแต่ละคนก็จะพูดยกย่องคำสอนของตนเองและลบหลู่คำสอนของผู้อื่น ซึ่งเมื่อมีผู้ไปทูลถามพระพุทธเจ้าว่า ทำอย่างไรเราจึงจะรู้ว่าคำสอนของใครจริง (คือดับทุกข์ได้จริง) ของใครไม่จริง (คือดับทุกข์ไม่ได้จริง) ? โดยพระพุทธเจ้าได้ทรงตรัสตอบไว้โดยสรุปว่า เมื่อได้พบคำสอนใด ก่อนอื่นก็อย่าด่วนเชื่อว่าเป็นความจริงเพียงเพราะเหตุสักว่า : มีคนเขาบอกมา, มีคนเขาทำตามๆกันมา, มีคนกำลังล่ำลือกันอยู่อย่างกระฉ่อน, มีตำราอ้างอิง, มีเหตุผลตรงๆมารองรับ, มีเหตุผลแวดล้อมมารองรับ, สามัญสำนึกของเรามันยอมรับ, มันตรงกับความเห็นที่เรามีอยู่ก่อนแล้ว, ผู้สอนนั้นดูภายนอกน่าเชื่อถือ, ผู้สอนนั้นเป็นครูอาจารย์ที่เรานับถือ ต่อจากนั้นก็ให้นำคำสอนนั้นมาพิจารณาดูก่อน ว่ามีประโยชน์หรือโทษ? ผู้ที่มีปัญญาและมีใจเป็นกลางติเตียนหรือไม่ติเตียน? ซึ่งถ้าพิจารณาแล้วพบว่ามีโทษผู้ที่มีปัญญาและมีใจเป็นกลางติเตียน ก็ให้ละทิ้งคำสอนนั้นไปเสีย แต่ถ้าพิจารณาแล้วพบว่า มีประโยชน์ ไม่มีโทษ ผู้ที่มีปัญญาและมีใจเป็นกลางไม่ติเตียน ก็อย่าเพิ่งเชื่อ แต่ให้นำเอาคำสอนนั้นมาทดลองปฏิบัติดูก่อน เพื่อพิสูจน์ว่าเป็นความจริงตามที่สอนหรือไม่ เมื่อได้ทดลองปฏิบัติตามคำสอนนั้นอย่างเต็มมาตรฐานของคำสอนนั้นแล้วพบว่า "ไม่เป็นความจริง" (คือความทุกข์ไม่ได้ลดลงหรือดับลงจริงแม้เพียงชั่วคราว) ก็ให้ละทิ้งคำสอนนั้นไปเสีย แต่ถ้าได้ทดลองปฏิบัติตามคำสอนนั้นแล้วพบว่า "เป็นความจริง" (คือความทุกข์ได้ลดลงหรือดับลงจริงแม้เพียงชั่วคราว) ก็ให้ยอมรับเอามาปฏิบัติให้ยิ่งๆขึ้นต่อไป สรุปพระพุทธเจ้าทรงสอนว่า "อย่าเชื่อใครแม้แต่ตัวเราเอง แต่ให้ยอมรับความจริงที่เราได้พิสูจน์จนเห็นแจ้งแล้วเท่านั้น" ซึ่งหลักกาลามสูตรนี้ก็ตรงกับหลักวิทยาศาสตร์ในปัจจุบัน โดยหลักกาลามสูตรนี้เป็นหลักที่สอนให้เรามีอิสระในการศึกษาของผู้มีปัญญา แต่ที่สำคัญก็คือ เราจะต้องใช้หลักกาลามสูตรนี้ มาค้นหาว่าคำสอนใดเป็นคำสอนที่แท้จริงของพระพุทธเจ้า และคำสอนใดไม่ใช่คำสอนที่แท้จริงของพระพุทธเจ้า เพื่อที่เราจะได้นำคำสอนที่แท้จริงของพระพุทธเจ้ามาศึกษาและปฏิบัติให้เกิดประโยชน์ต่อไป พระพุทธเจ้าสอนเรื่องกรรมไว้ว่าอย่างไร? คำว่า กรรม แปลว่า การกระทำด้วยเจตนา (หรือความจงใจ) ซึ่งเจตนาก็คือ "กิเลส" และมีผลเรียกว่า วิบาก แต่ถ้าการกระทำใดไม่มีเจตนา จะไม่เรียกว่าเป็นกรรม แต่จะเรียกว่า "กิริยา" ซึ่งผลของกิริยาเรียกว่า "ปฏิกิริยา" อย่างเช่น เมื่อเราเดินไปเหยียบมดตายโดยไม่เจตนา ก็เรียกว่าเป็น กิริยา และมีปฏิกิริยาคือ มดตาย เท่านั้น โดยกิเลสนี้ก็มีทั้ง "กิเลสฝ่ายชั่ว" (คือการมีเจตนาที่จะเบียดเบียนผู้อื่น) และ "กิเลสฝ่ายดี" (คือการมีเจตนาที่จะช่วยเหลือผู้อื่นโดยไม่หวังผลตอบแทน) จึงทำให้เกิดกรรมขึ้นมา ๒ อย่าง คือ กรรมชั่ว กับ กรรมดี อีกทั้งกรรมหรือเจตนาของจิตนี้ จะเริ่มต้นเกิดขึ้นที่จิตก่อน แต่เมื่อจิตสั่งให้ร่างกายทำ หรือสั่งให้ปากพูด จึงทำให้เกิด "กรรมชั่ว" และ "กรรมดี" ขึ้นมาได้ ๓ ทาง อันได้แก่ โดยกรรมชั่วทางกาย ก็ได้แก่ การการเบียดเบียนชีวิต ทรัพย์สิน และกามารมณ์ (สิ่งของที่น่ารักน่าใคร่) ของผู้อื่น, การลุ่มหลงอบายมุข-สิ่งเสพติด-สิ่งฟุ่มเฟือย ส่วนกรรมชั่วทางวาจา ก็ได้แก่ การพูดโกหก, การพูดคำหยาบ, การพูดคำส่อเสียดยุยงให้แตกกัน และการพูดเพ้อเจ้อ และ กรรมชั่วทางใจ ก็ได้แก่ การคิดเพ่งเล็งอยากได้สิ่งของๆผู้อื่นมาเป็นของเรา, การคิดอาฆาตพยาบาทหรือการคิดจะทำร้ายผู้อื่น, และการมีความเห็นผิดจากความเป็นจริง (คือเห็นว่าทำดีได้ชั่ว แต่พอทำชั่วกลับได้ดี) ซึ่งการทำชั่วและมีผลชั่วนี้เรานิยมเรียกว่า บาป ส่วนกรรมดีทางกายก็ได้แก่ การช่วยเหลือผู้อื่นให้หลุดพ้นจากความทุกข์-ความเดือดร้อน, การทำหน้าที่ของเราอย่างถูกต้องสมบูรณ์, การใช้ชีวิตที่เรียบง่าย, การละเว้นอบายมุข-สิ่งเสพติด-สิ่งฟุ่มเฟือย ส่วนกรรมดีทางวาจาก็ได้แก่ การพูดแต่คำจริง (คือไม่พูดโกหก), พูดคำที่ไพเราะน่าฟัง, พูดคำที่ทำให้เกิดความสามัคคี, พูดคำที่เป็นประโยชน์ต่อผู้อื่น ส่วนกรรมดีทางใจก็ได้แก่ การคิดช่วยเหลือผู้อื่นโดยไม่หวังผลตอบแทน, การคิดให้อภัย, การมีความเห็นถูกต้องตามความเป็นจริง (คือเห็นว่าทำดี-ดี, ทำชั่ว-ชั่ว) ซึ่งการทำความดีและมีผลดีนี้เรานิยมเรียกว่า บุญ โดยผลของกรรมเรียกว่า วิบาก ซึ่งวิบากนี้ก็เป็นไปตามเจตนา คือ เมื่อทำกรรมชั่ว ก็จะเกิดวิบากชั่วหรือผลชั่วหรือไม่ดีแก่จิตใจ อันได้แก่ ความร้อนใจ หรือความทุกข์ใจ ความแห้งเหี่ยวใจ ความคับแค้นใจ หรือความไม่สบายใจทุกระดับ ส่วนการทำกรรมดี ก็จะเกิดวิบากดีหรือผลดีแก่จิตใจ คือ ความสุขใจ อิ่มใจ ความภาคภูมิใจฯ ส่วนช่วงเวลาที่วิบากหรือผลของกรรมจะเกิดขึ้นนั้น ก็มีอยู่ ๓ ช่วง อันได้แก่ ๑. ทันที คือ เกิดขึ้นขณะที่เรากำลังทำกรรมใดๆอยู่ ๒. ต่อมา คือ เกิดขึ้นเมื่อเราได้ทำกรรมใดๆเสร็จแล้ว ๓. ต่อมาอีก คือเมื่อเราได้ระลึกถึงกรรมที่เราได้เคยทำไว้ในอดีต ซึ่งผลของกรรมนั้นก็ยังจะเกิดขึ้นได้อีกเหมือนกันแต่อาจจะอ่อนแรงลงแล้ว คำสอนเรื่องกรรมของพุทธศาสนานี้เป็นคำสอนระดับศีลธรรม ที่มีจุดประสงค์จะทำให้คนกลัวการทำชั่วและอยากทำความดี แต่เราจะต้องทำความเข้าใจอีกว่า คำสอนเรื่องกรรมของพระพุทธเจ้านี้เป็น คำสอนเรื่องทางจิตใจ ไม่ใช่เรื่องทางกายหรือวัตถุ อย่างเช่นที่คนส่วนใหญ่กำลังเข้าใจผิดกันอยู่ โดยคนส่วนใหญ่จะเข้าใจว่า การทำกรรมจะให้ผลทางวัตถุ เช่น เมื่อทำกรรมดี ก็จะมีคนมาชมเชยหรือยกย่องและให้รางวัล หรือทำให้ร่ำรวยหรือมีเกียรติ แต่ถ้ากรรมชั่วก็จะทำให้สังคมติเตียน หรือถูกกฎหมายลงโทษ หรือทำให้ชีวิตพบกับภัยหรือความวิบัติล่มจม เป็นต้น ซึ่งเรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องของปัจจัยภายนอกที่มันเอาแน่ไม่ได้ คือถ้าทำดีแล้วไม่มีใครรู้ก็จะไม่มีใครมายกย่องหรือให้รางวัล หรือคนที่ทำชั่วแล้วปกปิดไว้ได้ ก็จะไม่มีใครติเตียนหรือลงโทษ เป็นต้น ซึ่งเราจะต้องเข้าใจจุดนี้เอาไว้ด้วย จะได้ไม่เกิดความเห็นผิดไปว่า "ทำดีแล้วไม่ได้ดี แต่พอทำชั่วกลับได้ดี" ขึ้นมา อย่างเช่นที่คนทั่วไปเข้าใจผิดกันอยู่ สรุปได้ว่า คำสอนเรื่องกรรมของพระพุทธเจ้านั้นเป็นคำสอนเรื่อง "จิตใต้สำนึก" (คือจิตส่วนลึกที่เราควบคุมมันไม่ได้) ที่สอนว่า เมื่อเราทำความชั่ว แม้จะไม่มีใครรู้ แต่จิตใต้สำนึกของเรามันก็รู้อยู่ว่าเป็นความชั่ว จึงทำให้จิตของเราเกิดความรู้สึกทุกข์ใจ ไม่สบายใจขึ้นมาทันที แต่พอเราทำความดี แม้จะไม่มีใครรู้ แต่จิตใต้สำนึกของเรามันก็รู่อยู่ว่าเป็นความดี จึงทำให้จิตของเราเกิดความสุขใจ อิ่มใจขึ้นมาทันที เกิดมาทำไม? ถ้ามีผู้มาถามเราว่า เกิดมาทำไม? ซึ่งถ้าเราจะได้ศึกษาเรื่องความเป็นอนัตตาของร่างกายกับจิตใจมาแล้วเราก็จะเข้าใจได้ว่า มันไม่ได้มีเรามาเกิด แต่สิ่งที่เกิดขึ้นมานี้มันเป็น "สิ่งปรุงแต่ง" ที่เราสมมติเรียกว่าเป็น "ตัวเรา" ซึ่งสิ่งหรือธรรมชาติทั้งหลายนั้น เมื่อมันถูกปรุงแต่งให้เกิดขึ้นมาแล้ว มันก็ต้องมีหน้าที่จะต้องปฏิบัติเสมอ ถ้าสิ่งใดไม่ปฏิบัติหน้าที่ของตนเองให้ถูกต้อง สิ่งนั้นก็จะมีภาวะของทุกขังมาก (คือต้องทนอยู่อย่างยากลำบากมาก) โดยชีวิตของคนเรานี้ก็จะประกอบด้วยร่างกายกับจิตใจ โดยหน้าที่ของร่างกายก็คือ เคลื่อนไหว (คือทำงาน) เพื่อแสวหาปัจจัย ๔ มาบริหาร่างกายให้ตั้งอยู่โดยมีภาวะของทุกขังน้อยที่สุด รวมทั้งยังต้องคอยระวังรักษาร่างกายไม่ให้เจ็บป่วยหรือถูกทำร้ายหรือถูกภัยธรรมชาติทำให้เจ็บปวดหรือตาย ส่วน จิตใจนั้นก็มีหน้าที่คอยควบคุมร่างกายให้ทำหน้าที่ของร่างกายให้ถูกต้องสมบูรณ์ และ จิตใจยังมีหน้าที่ที่สำคัญที่ต้องปฏิบัติคือ การระวังอย่าให้จิตเกิดความทุกข์ (ความเศร้าโศกฯ) ส่วนการที่ชีวิต (คือร่างกายกับจิตใจ) ได้เกิดขึ้นมาแล้ว มันก็ต้องมีหน้าที่ของมันตามสภาพที่เกิดขึ้นมา เช่น เป็นชายหรือหญิง, เป็นเด็กหรือผู้ใหญ่, เป็นพ่อหรือแม่, เป็นสามีหรือภรรยา, เป็นพี่, เป็นน้อง, เป็นครู, เป็นหมอ, เป็นตำรวจ, เป็นนักการเมือง, เป็นนักบวช, เป็นประชากรของประเทศ, เป็นศาสนิกของศาสนา, เป็นคนของโลก, หรือเป็นสิ่งมีชีวิตของธรรมชาติ เป็นต้น ซึ่งเราทุกคนก็รู้อยู่แล้วว่าหน้าที่ตามสภาพร่างกายของเรานั้นคืออะไร สรุปได้ว่า เมื่อเราเกิดมาอยู่ในสภาวะใด เราก็ต้องมีหน้าที่ที่จะต้องปฏิบัติตามสภาพของชีวิตด้วยเสมอ แต่ถ้าเราไม่ปฏิบัติหน้าที่ของเราให้ถูกต้องสมบูรณ์ หรือปฏิบัติผิดจากหน้าที่ของเรา ชีวิตของเราก็จะเกิดความทุกข์ (คือทั้งความทุกข์กายและความทุกข์ใจ) แต่ถ้าเราจะได้ปฏิบัติหน้าที่ทั้งหลายของเราได้อย่างถูกต้องสมบูรณ์ ก็จะมีผลทำให้เกิดความสบายกายและความสุขใจ รวมทั้งจิตใจก็จะไม่มีความทุกข์อีกด้วย ตายแล้วไปไหน? พระพุทธเจ้าได้สอนว่า มนุษย์ส่วนมาก (เกือบจะทั้งหมด) จะมีความเห็นผิด (มิจฉาทิฏฐิ) อยู่ ๒ อย่าง คือ สัสสตทิฏฐิ กับ อุจเฉททิฏฐิ โดยสัสสตทิฏฐิก็คือความเห็นว่า มีสิ่งที่เป็นอัตตา (คือตัวตนอมตะ) คือเป็นความเห็นว่า จิต หรือวิญญาณของตนเรานี้เป็นอัตตา ที่มาสิงอยู่ในร่างกายที่ยังไม่ตาย เมื่อร่างกายตาย จิตที่เป็นอัตตานี้ก็จะไปเกิดยังร่างกายใหม่ๆได้เรื่อยไป ซึ่งความเห็นนี้เองที่ทำให้เกิดความเชื่อเรื่อง เช่น นรก สวรรค์ (ชนิดที่เป็นสถานที่) เทวดา นางฟ้า พระอินทร์ พระพรหม พระอิศวร พระนารายณ์ (ชนิดที่เป็นตัวตนบุคคล) รวมทั้งความเชื่อเรื่องการเกิดใหม่เพื่อรับผลที่ได้ทำไว้ก่อนตาย เป็นต้น ซึ่งความเห็นผิดนี้ก็ยังจัดว่ามีส่วนดีตรงที่ทำให้คนที่เชื่อไม่ทำความชั่ว (เพราะกลัวตกนรก) แต่จะทำความดี (เพราะอยากขึ้นสวรรค์) ซึ่งก็จะทำให้คนที่ทำความดีไม่ทำความชั่วนั้นมีชีวิตที่ปกติสุขและไม่เดือดร้อน รวมทั้งยังทำให้สังคมสงบสุขและทำให้โลกมีสันติภาพได้อีกด้วย แต่ก็มีผลเสียตรงที่ไม่ทำให้เกิดปัญญาสำหรับนำมาใช้ดับทุกข์ของจิตใจในปัจจุบัน ส่วนอุจเฉททิฏฐิก็คือความเห็นว่าขาดสูญ (นิรัตตา-คือไม่มีตัวตนใดๆเลย) คือเป็นความเห็นว่า ชีวิตนั้นไม่ได้มีตัวตนใดๆเลย (แม้ตัวตนชั่วคราว) ซึ่งความเห็นนี้เองที่ทำให้เกิดความเห็นผิดว่า ไม่มีพ่อ ไม่มีแม่ ไม่ใครๆ ไม่มีสิ่งใดๆเลย ดังนั้นแม้เราจะทำความดีก็ไม่มีผลใดๆ หรือถ้าเราทำความชั่วก็ไม่มีผลใดๆ รวมทั้งเมื่อชีวิตายก็จะขาดสูญ (คือหายไปเลย) ซึ่งคนที่มีความเห็นเช่นนี้จะแสวงหาความสุขไปวันๆโดยไม่สนใจว่าจะทำให้คนอื่นเดือดร้อนหรือไม่ คือเขาจะไม่ชอบทำความดี เพราะเชื่อว่าไม่มีประโยชน์ใดๆ แต่จะชอบทำความชั่วเพราะเชื่อว่าไม่ต้องรับโทษใดๆ ซึ่งคนที่มีความเห็นเช่นนี้จัดว่าเป็นคนที่น่ารังเกียจของโลก ส่วนความเห็นที่ถูกต้อง (สัมมาทิฏฐิ) ที่พระพุทธเจ้าสอนนั้นก็คือ ความเห็นว่า ชีวิต (คือร่างกายกับจิตใจ) เป็นอนัตตา คือเป็นสิ่งปรุงแต่ง ที่ก็มีตัวตนอยู่ด้วยเหมือนกัน แต่ว่ามีเพียงชั่วคราวเท่านั้น คือไม่ได้มีตัวตนอย่างถาวรหรือเป็นอมตะอย่างพวกสัสสตทิฏฐิ และก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีตัวตนใดๆเลยอย่างพวกอุจเฉททิฏฐิ ส่วนเรื่องการทำความดีนั้นพระพุทธเจ้าสอนว่าก็มีผล คือทำให้เกิดความสุขใจอิ่มใจเมื่อได้ทำความดี แต่ถ้าทำความชั่วก็จะมีผลทำให้เกิดความร้อนใจ ทุกข์ใจ ซึ่งผลก็เกิดในขณะที่เราได้ทำความดีหรือชั่วอยู่นั่นเอง คือก็ไม่ใช่ว่าจะต้องไปรับผลเอาชาติหน้าหลังจากตายไปแล้วอย่างพวกสัสสตทิฏฐิ และก็ไม่ใช่ว่าจะไม่ได้รับผลใดๆเลยอย่างพวกอุจเฉททิฏฐิ รวมทั้งเรื่องหลังความตายนั้นพระพุทธเจ้าสอนว่า มันไม่ได้มีใครตาย มีแต่ธาตุตามธรรมชาติที่มาประชุมเกิดเป็นร่างกายและจิตใจได้กลับคืนไปสู่ธรรมชาติของมันเท่านั้น ซึ่งความเห็นนี้ก็ไม่จัดว่าเป็นความเห็นว่าตายแล้วเกิดอย่างพวกสัสสตทิฏฐิ และก็ไม่จัดว่าตายแล้วสูญอย่างพวกอุจเฉททิฏฐิ (คือมันไม่ได้มีตัวตนมาสูญ) คำว่านรก-สวรรค์ ฯ ในพุทธศาสนามีความหมายอย่างไร? ปัญหาที่คนส่วนใหญ่พบเมื่อศึกษาตำราพระไตรปิฎกของพุทธศาสนาก็คือ "อ่านแล้วไม่เข้าใจ" ซึ่งที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะภาษาที่ใช้บันทึกคำสอนของพระพุทธเจ้าก็เป็นภาษาที่เราไม่คุ้นเคย รวมทั้งยังมีคำสอนที่เหมือนกับคำสอนของศาสนาพราหมณ์อีกด้วย ซึ่งคำเหล่านี้แม้จะเป็นคำพูดที่เหมือนกับคำสอนของศาสนาพราหมณ์ แต่ว่าความหมายจะไม่เหมือนกัน คือความหมายของศาสนาพราหมณ์นั้นเขาจะหมายถึง สิ่งภายนอกจิตใจ (คือเป็นตัวตนบุคคลหรือสถานที่) แต่ความหมายของพุทธศาสนาจะหมายถึง สภาวะจิตของเราในปัจจุบัน อย่างเช่นคำต่อไปนี้ โลก หมายถึง ความทุกข์ หรือสิ่งที่เรายึดถือกันอยู่ ชาติ-หมายถึง การเกิดความยึดถือว่ามีตัวเราขึ้นมาในจิต ตาย หมายถึง การที่ความยึดถือว่ามีตัวเราในขณะหนึ่งได้ดับหายไป คน หมายถึง จิตที่กำลังเสวยสุขโดยต้องเอาความเหนื่อยยากลำบากเข้าแลก มนุษย์ หมายถึง ผู้มีใจสูง หรือผู้มีคุณธรรม (คนยังไม่ใช่มนุษย์) สวรรค์ หมายถึง สภาวะจิตที่มีแต่ความสุขใจอิ่มใจ นรก หมายถึง ความทุกข์ใจหรือร้อนใจอย่างมากเหมือนถูกไฟเผา เทวดา หมายถึง จิตที่กำลังเสวยสุขโดยไม่ต้องเหนื่อยยากลำบากกาย นางฟ้า หมายถึง ความสุขจากกามคุณชนิดต่างๆ พรหม หมายถึง จิตที่เบื่อกามคุณ และอยู่อย่างสุขสงบด้วยสมาธิ รูปพรหม หมายถึง จิตที่ติดอยู่ในความสุขสงบจากสิ่งที่เป็นรูปหรือวัตถุ อรูปพรหม หมายถึง จิตที่ติดอยู่ในความสุขสงบจากสิ่งที่ไม่มีรูป อบายภูมิ หมายถึง จิตที่ตกต่ำอยู่ในความทุกข์ เดรัจฉาน หมายถึง จิตที่มีความโง่อย่างไม่น่าโง่ เปรต หมายถึง จิตที่หิวหรือมีความอยากได้ด้วยกิเลสมาก อสุรกาย หมายถึง จิตที่ขลาดกลัว ไม่กล้าหาญ ยักษ์ หมายถึง จิตที่มีความโกรธ ความมุ่งร้าย สัตว์ หมายถึง จิตที่ยังติดใจอยู่ในโลก (ในกามคุณ ๕) สัตว์นรก หมายถึง จิตที่กำลังเร่าร้อนทรมาน (ร้อนใจ ทุกข์ใจมาก) ยมบาล หมายถึง กฎอันเฉียบขาดของธรรมชาติ มาร หมายถึง สิ่งที่ทำลายล้างความดีความถูกต้องให้หายไปจากจิต วัฏฏะสงสาร หมายถึง จิตที่วนเวียนอยู่ใน กิเลส-กรรม-วิบาก นิพพาน หมายถึง จิตที่สงบเย็นเพราะไม่มีกิเลสรบกวน เป็นต้น สรุปได้ว่า การสอนของพระพุทธเจ้านั้น แม้ว่าพระองค์จะใช้ภาษาที่เหมือนกับคำสอนของศาสนาพราหมณ์ แต่ว่ามีความหมายต่างกัน คือคำสอนของศาสนาพราหมณ์จะเป็น "ภาษาคน" ที่สอนเรื่องการมีตัวตนบุคคล (อัตตา) คือจะมีความหมายตื้นๆที่ชาวบ้านฟังแล้วก็เข้าใจได้ง่ายๆโดยไม่ต้องแปลความหมายอีก แต่คำสอนของพระพุทธเจ้าจะเป็น "ภาษาธรรม" คือต้องแปลความหมายจากภาษาคน ให้เป็น "ภาษาธรรม" ซึ่งเป็นเรื่องลึกซึ้งในจิตใจของเราเองในชีวิตปัจจุบัน เราจึงจะอ่านตำราพระไตรปิฎกของพุทธศาสนาแล้วเข้าใจ เพราะคำสอนที่แท้จริงของพระพุทธเจ้านั้นเป็นวิทยาศาสตร์ทางด้านจิตใจ ที่ต้องน้อมเข้ามาดูภายในจิตใจของเราเท่านั้น ทำอย่างไรเราจึงจะอุ่นใจเรื่องโลกหน้าได้? เมื่อมีคำสอนว่า ไม่มีชาติก่อน-ชาติหน้า ก็อาจจะมีคนแย้งว่า ถ้าเราไม่เชื่อเรื่อง ชาติก่อน-ชาติหน้า ไม่เชื่อเรื่อง บาป-บุญ ตามที่เขาเชื่อกันอยู่ แต่ถ้าบังเอิญมันมีจริง เราจะต้องเดือดร้อนในชาติหน้า เพราะไม่ได้ทำบุญมากๆเผื่อเอาไว้มากๆ โดยเรื่องนี้พระพุทธเจ้าได้ทรงสอนเอาไว้ว่า ถ้าเราทำแต่ความดี (คือช่วยเหลือผู้อื่น) และไม่ทำความชั่ว (คือไม่เบียดเบียนใคร) เราก็อุ่นใจได้ว่า เราจะมีแต่ความสุขโดยไม่มีความเดือดร้อนเพียงอย่างเดียว ไม่ว่าโลกหน้าจะมีหรือไม่มีก็ตาม และไม่ว่าบาป-บุญจะมีหรือไม่มีก็ตาม เพราะถ้าโลกหน้ามีจริง เราก็ต้องได้รับแต่ผลดี โดยที่ไม่ต้องรับผลชั่วอยู่แล้วในโลกหน้านั้น เพราะเราทำแต่ความดี ไม่ได้ทำความชั่วเอาไว้ในโลกนี้ แต่ถึงโลกหน้าจะไม่มี เราก็ไม่ขาดทุน เพราะเราก็จะไม่มีความเดือดร้อนในชีวิตปัจจุบันอยู่แล้ว เพราะเมื่อเราไม่ได้เบียดเบียนใคร เขาก็จะไม่มาเบียดเบียนเราตอบให้เดือดร้อน แต่เราจะมีแต่ความปรกติสุขในชีวิตปัจจุบัน จากการทำความดีของเราในชีวิตปัจจุบัน และถ้า บาป-บุญมีจริง เมื่อเราไม่ได้ทำบาปแต่ทำบุญ ถ้าชาติหน้ามีจริง เราก็จะได้รับแต่ผลบุญโดยไม่ต้องรับผลบาปในชาติหน้านั้น เพราะเราไม่ได้ทำบาปแต่ทำบุญเอาไว้ในชาตินี้ แต่ถึงชาติหน้าจะไม่มีจริง เราก็ไม่ขาดทุน เพราะเราก็ต้องได้รับผลบุญ จากการทำบุญในชาตินี้อยู่แล้ว โดยไม่ต้องผลบาปจากการทำบาปในชาตินี้ แต่ถ้า บาป-บุญจะไม่มีจริง และ โลกหน้าจะมีจริงหรือไม่มีอยู่จริงก็ตาม เราก็จะมองเห็นความบริสุทธิ์ของมนุษย์ทุกคนโดยถ้วนหน้า เพราะเราเห็นแจ้งแล้วว่า มนุษย์ทุกคนคือคนๆเดียวกัน จากการที่มีจิตที่ไม่มีบาปไม่มีบุญเหมือนกัน ซึ่งการเห็นนี้ก็จะทำให้จิตของเราหลุดพ้นจากความยึดถือว่ามีเรา-มีเขาได้ ซึ่งก็จะทำให้จิตของเราไม่มีความทุกข์ (ไม่เศร้าโศกฯ) ดังนั้นสรุปได้ว่า ถ้าเรายังไม่เกิดความรู้แจ้งชีวิตและโลกตามความเป็นจริง (คือยังไม่เกิดปัญญา) ก็ให้เราทำแต่ความดีโดยไม่ทำความชั่ว ก็จะทำให้เราอุ่นใจได้ว่า เราจะได้รับแต่ผลดีเพียงอย่างเดียวโดยไม่ได้รับผลชั่ว ไม่ว่าโลกหน้าจะมีหรือไม่มีก็ตาม และไม่ว่าบาป-บุญจะมีหรือไม่ก็ตาม ซึ่งหลักการนี้ก็เป็นหลักสากล ที่ไม่ว่าศาสนาไหนๆหรือชนชาติใดก็ตาม ต้องยอมรับหลักการนี้ เพราะหลักการนี้เป็นหลักการปฏิบัติเพื่อให้ชีวิตของมนุษย์มีความสงบสุขและทำให้โลกมีสันติภาพ คำสอนของพระพุทธเจ้าจะช่วยโลกได้อย่างไร? ศาสนาทุกศาสนาของโลก ล้วนมีจุดมุ่งหมายที่เหมือนกันคือ การช่วยให้โลกมีสันติภาพหรือความสงบสุขที่มั่นคง แต่จะต่างกันที่วิธีการสอนเท่านั้น โดยศาสนาส่วนใหญ่จะใช้วิธีการสอนให้ผู้คนมีความเชื่อเหมือนกัน จะได้ทำให้ผู้นับถือมีความสามัคคีกันในการทำโลกให้มีสันติภาพ ซึ่งในยุคปัจจุบันการสอนให้มีความเชื่อเริ่มไม่ได้ผล เพราะผู้คนมีอิสระในการคิดด้วยเหตุผลตามหลักวิทยาศาสตร์มากขึ้น จึงทำให้มีคนที่ไม่มีศาสนามากขึ้นในโลก ในส่วนของพุทธศาสนานั้นจะมีวิธีการสอนทั้งแบบ "การสอนให้เชื่อเหมือนกับศาสนาอื่น" คือจะสอนให้เชื่อว่า "เมื่อทำความดี ไม่ทำความชั่ว ย่อมได้รับผลดีเพียงอย่างเดียว ไม่ว่าโลกหน้าจะมีหรือไม่ก็ตาม" ซึ่งนี่คือหลักของศีลธรรมในพุทธศาสนา แต่จุดเด่นของพุทธศาสนาก็คือ "การสอนให้มนุษย์เกิดความรู้แจ้งชีวิตและโลกตามความเป็นจริง" ซึ่งวิธีการนี้เหมาะสำหรับคนที่มีอิสระในการคิดด้วยเหตุผลตามหลักวิทยาศาสตร์ ซึ่งวิธีการนี้จัดเป็นคำสอนระดับสูงของพุทธศาสนา โดยคำสอนระดับสูงของพุทธศาสนานั้น จะสอนให้เราแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ คือการที่โลกเกิดวิกฤติการณ์ต่างๆขึ้นมาทั่วโลกนั้นเกิดมาจากจิตใจของคนที่โง่เขลาทั้งสิ้น ซึ่งความโง่เขลานี้ก็คือ "ความไม่รู้แจ้งชีวิตและโลกตามความเป็นจริง" คือเป็นความไม่รู้ว่า ชีวิตคืออะไร? เกิดมาทำไม? และอะไรคือสิ่งสูงสุดที่คู่ควรกับชีวิต? เรื่องนี้อธิบายได้ว่า คนเราทุกคนนั้นเมื่อเกิดขึ้นมาแล้วก็จะมีสัญชาตญาณว่ามีตนเอง (หรือความรู้สึกตัวว่ามีตนเอง) ติดมาด้วยทุกคน รวมทั้งมีความโง่เขลาหรือความไม่รู้แจ้งชีวิตตามความเป็นจริงติดมาด้วย จึงทำให้คนเรานั้นดำเนินชีวิตหรือใช้ชีวิตไปตามสัญชาตญาณและความโง่เขลา โดยสัญชาตญาณว่ามีตนเองนี้ก็ทำให้คนเรานั้นเกิด "ความเห็นแก่ตัว" แล้วก็ทำอะไรๆก็เพื่อตนเองเป็นหลัก ซึ่งการทำอะไรๆเพื่อตนเองนี้ก็คือกิเลสนั่นเอง โดยคนที่เห็นแก่ตัวน้อยแต่เห็นแก่คนอื่นมากกว่า ก็จะมีกิเลสฝ่ายดี หรือ เป็นคนดี ที่ชอบช่วยเหลือผู้อื่น แต่คนที่เห็นแก่ตัวมาก จะไม่เห็นแก่คนอื่น ก็จะมีกิเลสฝ่ายชั่ว หรือ เป็นคนชั่ว ที่ชอบเบียดเบียนผู้อื่น ซึ่งกิเลสฝ่ายชั่วนี่เองที่ทำให้โลกมีแต่วิกฤตการณ์ ส่วนวิธีการช่วยให้โลกมีสันติภาพตามหลักพุทธศาสนานั้นก็คือ การสอนให้คนมี "ปัญญา" ซึ่งปัญญานี้ก็คือ ความรู้แจ้งชีวิตตามความเป็นจริงว่า "มันไม่ได้มีตัวเราอยู่จริง" ซึ่งความรู้นี้ก็คือคำสอนเรื่อง สุญญตา (ความว่าง) นั่นเอง โดยพระพุทธเจ้าทรงสอนว่า แม้ผู้ครองเรือนก็ควรรู้เรื่องสุญญตา เพราะความรู้นี้จะทำให้คนที่เข้าใจและเห็นแจ้งนั้น ลดความเห็นแก่ตัวลงได้ และทำให้กิเลสในจิตใจของเขาลดน้อยลงตาม แล้วเขาก็จะเป็นคนดีที่เห็นแก่ตัวน้อยลง และ หันมาช่วยเหลือผู้อื่นมากขึ้น รวมทั้งคนดีนี้ยังจะมาช่วยกันเผยแพร่คำสอนอันประเสริฐนี้ให้แพร่หลายไปทั่วโลกอีกด้วย ซึ่งเมื่อโลกมีคนดีมากๆ ก็จะทำให้คนชั่วลดน้อยลงและหมดอำนาจที่จะปกครองโลกหรือมาทำให้โลกมีวิกฤตการณ์ และเมื่อวิกฤตการณ์ของโลกลดน้อยลงหรือหมดสิ้นไป สันติภาพหรือความสงบสุขของมนุษยชาติก็จะกลับคืนมาได้ หลังจากที่ได้เสียมันไป จบภาค ๓ จบบริบูรณ์ (ศึกษาเพิ่มเติมได้จากหนังสือ ศึกษาพุทธศาสนาอย่างวิทยาศาสตร์ จาก www.whatami.net) |