คำสอน ๒ ระดับมีอยู่ในทุกศาสนา

เมื่อเรามาพิจารณาถึงคำว่า “ศาสนา” เราก็จะพบว่า ศาสนาก็คือหลักการปฏิบัติ เพื่อขจัดความทุกข์ความเดือดร้อน และเพื่อให้เกิดความสงบสุข ทั้งแก่ส่วนตัวและส่วนรวม ซึ่งการที่ใครจะปฏิบัติตามคำสอนของศาสนาใด เขาก็ต้องมีศรัทธาหรือความเชื่อในศาสนานั้นก่อนเสมอ ศาสนาจึงคู่กับความเชื่อมาโดยตลอด ถ้าใครไม่มีความเชื่อในคำสอน ก็เท่ากับเขาไม่มีศาสนา

เมื่อเด็กเกิดขึ้นมา แน่นอนว่าเขาย่อมจะยังไม่มีความเชื่อหรือความคิดนึกใดๆ เรียกว่าจิตของเด็กทุกคนที่เกิดขึ้นมาใหม่ๆย่อมที่จะบริสุทธิ์ แต่เป็นเพราะพ่อแม่หรือผู้ปกครองของเด็กนั่นเอง ที่เป็นผู้ปลูกฝังความเชื่อของศาสนาให้แก่เด็ก โดยพ่อแม่ผู้ปกครองย่อมพิจารณาดูแล้วเห็นว่า ศาสนาที่เขานับถืออยู่นั้นเป็นสิ่งที่ดีงาม เขาจึงได้ปลูกฝังความเชื่อของศาสนาที่เขานับถือนั้นให้ แน่นอนว่าศาสนาทุกศาสนาย่อมที่จะสอนให้คนเป็นคนดี ถ้าทุกคนมีศาสนา โลกก็จะมีสันติภาพ แต่มันก็ยากที่จะสอนให้ทุกคนเป็นคนดีได้ เพราะถ้าทุกคนเป็นคนดีกันหมดเสียแล้ว โลกก็คงไม่ต้องมีศาสนามาช่วยแก้ปัญหาให้มวลมนุษย์เป็นแน่ ดังนั้นจึงทำให้เกิดมีคนที่หัวแข็ง ที่ไม่ยอมรับศาสนาที่พ่อแม่ปลูกฝังให้มา คือเขาได้กลายมาเป็นคนที่ไม่มีศาสนาขึ้นมา ทั้งอย่างเปิดเผยและอย่างปิดบังซ่อนเร้น

คนไม่มีศาสนาอย่างเปิดเผยนั้นก็คือคนที่ประกาศว่าตนเองไม่นับถือศาสนาใดเลยในโลก ส่วนคนที่ไม่มีศาสนาอย่างปิดบังซ่อนเร้นนั้น ก็คือคนที่ถึงแม้เขาจะประกาศตนว่านับถือศาสนาใดอยู่ก็ตาม แต่เขาหาได้ปฏิบัติตามคำสอนของศาสนานั้นอย่างแท้จริงไม่ ซึ่งคนไม่มีศาสนาอย่างปิดบังซ่อนเร้นนี้จัดว่ามีมากมายในโลก เพราะสังเกตได้จากการที่โลกในปัจจุบันมีแต่วิกฤติการณ์อยู่ทั่วทุกมุมโลก ซึ่งแน่นอนว่า วิกฤติการณ์ทั้งหลายของโลกนั้น ย่อมเกิดมาจากการที่คนเราเอารัดเอาเปรียบหรือเบียดเบียนกัน ไม่มีเมตตาช่วยเหลือกัน ไม่รู้จักให้อภัยกัน ที่เรียกว่าทำความชั่ว หรือเป็นคนชั่ว ซึ่งศาสนาทั้งหลายของโลก ย่อมสอนให้มนุษย์ทุกคนทำแต่ความดี ไม่ทำความชั่ว ศาสนาที่แท้จริงจะสอนมนุษย์ให้มีเมตตาช่วยเหลือกัน ให้อภัยกัน ถ้าใครเรามีศาสนาจริง เขาก็จะไม่เอารัดเอาเปรียบหรือเบียดเบียนกัน จนทำให้โลกมีแต่วิกฤติการณ์อยู่อย่างทุกวันนี้เป็นแน่

ส่วนคนที่ไม่มีศาสนาอย่างเปิดเผยนี้ ก็มีอยู่ ๒ ประเภท คือพวกที่มีปัญญา กับ พวกที่ด้อยปัญญา ซึ่งพวกที่ด้อยปัญญานี้น่าเป็นห่วง เพราะเขาอาจจะทำความชั่วได้ง่ายเพราะขาดปัญญาไตร่ตรอง ส่วนพวกที่มีปัญญานี้ไม่น่าเป็นห่วง เพราะเข่าย่อมมีปัญญารู้ว่าการกระทำใดที่ทำแล้วเกิดผลดีแก่ทั้งตัวของเขาเองและแก่สังคม และการกระทำใดที่ทำแล้วจะเกิดผลร้ายทั้งตัวเองและสังคม แล้วเขาก็จะเลือกทำแต่ความดี ไม่ทำความชั่ว

คนที่มีปัญญาแต่ไม่มีศาสนานี้ เขาจะมองศาสนาว่าเป็นสิ่งที่มาครอบงำชีวิตของเขาไม่ให้มีอิสระในการคิด หรือการพูด หรือการกระทำ ยิ่งถ้าเขาได้ศึกษาศาสนาทั้งหลายของโลกมามากๆ เขาก็จะยิ่งมองเห็นความแตกต่างของหลักคำสอนของแต่ละศาสนา ก็จะทำให้เขาเกิดความสงสัยขึ้นมาว่า ทำไมโลกจึงมีหลายศาสนา และทำไมแต่ละศาสนาสอนไม่เหมือนกัน ซึ่งแน่นอนว่าความจริงย่อมมีหนึ่งเดียว ไม่มีสอง แล้วศาสนาไหนจริง ศาสนาไหนไม่จริง?

แน่นอนว่ามนุษย์ส่วนใหญ่นั้นเกิดมาด้อยปัญญา คนที่จะมาคิดเช่นนี้จึงมีน้อย ดังนั้นการปลูกฝังคนด้อยปัญญาให้เชื่อมั่นในคำสอนของศาสนาไม่ว่าจะเป็นศาสนาใดก็ตาม ย่อมเป็นสิ่งที่ดีทั้งสิ้น ดีกว่าจะปล่อยให้เขาเป็นคนไม่มีศาสนา ถ้ายิ่งเป็นคนฉลาด แต่ไม่มีศาสนาก็จะยิ่งเป็นคนชั่วได้อย่างสุดๆเลยทีเดียว

ส่วนคนที่มีปัญญา เขาย่อมมองหาคำสอนที่สูงไปกว่าธรรมดา คือสามารถทำให้เขาเกิดปัญญาที่สูงขึ้นหรือมีความเห็นแจ้งชีวิตได้ ซึ่งความจริงแล้วทุกศาสนาจะมีคำสอนอยู่ ๒ ระดับ คือ ระดับธรรมดาหรือศีลธรรม ที่เป็นคำสอนง่ายๆพื้นๆ ที่ไม่ต้องใช้ความคิดก็สามารถปฏิบัติตามได้ทันที และมีผลเป็นความปกติสุขที่ทุกคนปรารถนา กับระดับสูง ที่เป็นคำสอนที่ลึกซึ้ง ที่ต้องใช้ความคิดอย่างมากในการศึกษา โดยมีผลเป็นความเห็นแจ้งชีวิต และหลุดพ้นจากความทุกข์ทั้งปวงได้

คำสอนระดับศีลธรรมของทุกศาสนานั้นก็ได้แก่คำสอนพวกการให้อภัยกัน ช่วยเหลือกัน ไม่เอารัดเอาเปรียบ หรือเบียดเบียนกัน ไม่ลุ่มหลงอบายมุข-สิ่งเสพติด ไม่ฟุ่มเฟือย ประหยัด ขยัน อดทน กตัญญู เป็นต้น ซึ่งทุกศาสนาจะมีหลักคำสอนที่เหมือนกันเช่นนี้ เพียงแต่รูปแบบการปฏิบัติภายนอกอาจจะแตกต่างกันไปบ้างเท่านั้น ซึ่งรูปแบบของการปฏิบัติภายนอกนั้นไม่ใช่สิ่งสำคัญเท่ากับเนื้อหาของคำสอนที่เป็นหัวใจ

ส่วนคำสอนระดับสูงนั้น จะเป็นคำสอนที่มาช่วยให้จิตใจของผู้ปฏิบัตินั้น มีความทุกข์ใจลดน้อยลง ตลอดจนไม่มีเลยได้ โดยหลักคำสอนที่ลึกซึ้งของคำสอนระดับสูงนี้ บางศาสนาก็จะซ่อนเอาไว้กับคำสอนระดับศีลธรรมนั่นเอง ซึ่งเราก็สามารถค้นหาคำสอนที่ลึกซึ้งนั้นมาปฏิบัติได้ด้วยการตั้งใจพิจารณาคำสอนที่มีอยู่ในศาสนาอย่างจริงจัง ก็จะพบกับคำสอนที่ลึกซึ้งที่ซ่อนอยู่ได้โดยไม่ยาก

จุดที่จะใช้สังเกตว่าคำสอนใดเป็นคำสอนระดับสูงก็คือก็คือ ถ้าคำสอนใดที่ช่วยให้เราปล่อยวางความทุกข์ใจในปัจจุบันของเราลงได้ แล้วทำให้จิตใจของเรา สะอาด สว่าง สงบ อีกทั้งยังทำให้เราเกิดความเห็นแจ้งชีวิตขึ้นมาได้ ก็แสดงว่าคำสอนนั้นเป็นคำสอนระดับสูงที่ซ่อนอยู่ในคำสอนระดับธรรมดานั่นเอง แต่บางศาสนาก็อาจจะมีคำสอนที่ลึกซึ้งนี้มาสอนอย่างละเอียด ซึ่งถ้าเราศึกษาคำสอนนั้น จนเกิดความเข้าใจแล้วก็จะทำให้เข้าใจถึงคำสอนระดับสูงของทุกศาสนาด้วยไปในตัว เพราะความจริงของโลกย่อมมีเพียงหนึ่งเดียวซึ่งเป็นความจริงสูงสุด เมื่อเราเข้าถึงความจริงนั้นแล้ว เราก็จะพบกว่าศาสนาเป็นเพียงหนทางเพื่อให้เราเดินไปพบกับความจริงสูงสุดเท่านั้น แต่ถ้าเรายังยึดติดอยู่ในรูปแบบภายนอกของศาสนา เราก็จะยังไม่พบกับความจริงสูงสุดนั้นได้

สรุปได้ว่า ศาสนาเป็นสิ่งที่ดีงาม เพราะทุกศาสนาจะสอนให้คนเป็นคนดี ถ้าโลกมีคนดีมากๆ โลกก็จะมีสันติภาพ การที่จะรวมศาสนาต่างๆให้เป็นศาสนาเดียวนั้นเป็นไปไม่ได้ แต่สิ่งที่จะทำได้ก็คือช่วยกันเผยแพร่คำสอนที่ดีงามของแต่ละศาสนาให้ผู้คนมีความเชื่อมั่นกันมากๆ นี่คือวิธีการเดียวที่จะช่วยให้โลกมีสันติภาพ ส่วนคนที่ต้องการความพ้นทุกข์ หรือต้องการมีความทุกข์ทางจิตใจลดน้อยลง ก็ต้องศึกษาคำสอนระดับสูงที่ลึกซึ้ง ที่มีอยู่ในศาสนาทั้งหลายให้พบ แล้วนำมาปฏิบัติ ก็จะได้รับสิ่งที่มีคุณค่าสูงสุดจากศาสนาได้อย่างแท้จริง

เตชปญฺโญ ภิกขุ. ๕ พ.ค. ๒๕๕๑
อาศรมพุทธบุตร เกาะสีชัง ชลบุรี
(ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้จาก www.whatami.net)
*********************