ระยะนี้มีข่าวเรื่องการจะเอาวัดเข้าไปตั้งในห้างสรรพสินค้าดังๆทั่วประเทศ เพื่อจะให้วัยรุ่นที่ไม่เข้าวัดจะได้เข้าใกล้วัดยิ่งขึ้น คือเมื่อเข้าไปเที่ยวห้างแล้วได้พบวัดก็อาจจะแวะเข้าไปไหว้พระหรือพังธรรมหรือทำบุญได้โดยสะดวก ซึ่งก็เป็นแนวคิดที่ดี แต่ถ้าลองพิจารณาให้ละเอียดแล้วจะพบว่ามันอาจจะมีข้อเสียตามมาหรืออาจจะไม่ได้ประโยชน์อย่างที่คิดก็ได้
ก่อนอื่นเราต้องรู้จักก่อนว่า วัด คืออะไร? ซึ่งดั้งเดิมนั้นวัดก็คืออารามที่หมายถึงที่พักอาศัยของพระภิกษุเพื่อบำเพ็ญพรต คือฝึกสมาธิและอบรมปัญญา ดังนั้นอารามจึงเป็นสถานที่สงบไม่วุ่นวาย ไม่มีสิ่งรบกวนและเป็นป่าที่ไกลจากหมู่บ้าน หรือแม้จะใกล้ก็ยังสงบเพราะหมู่บ้านสมัยก่อนนั้นจะสงบไม่วุ่นวายเหมือนสมัยนี้
พอมาสมัยนี้วัดเปลี่ยนไป คือวัดกลายเป็นสถานที่พักของพระภิกษุที่อาจะไม่พักอาศัยเพื่อฝึกสมาธิและอบรมปัญญา พระภิกษุอาจจะเพียงอาศัยอยู่เพื่อสวดมนต์ เรียนนักธรรมหรือเรียนภาษาและรับกิจนิมนต์ รวมทั้งรับทานที่มีผู้มีจิตศรัทธามาทำบุญ อีกอย่างบางแห่งก็อาจมีการสอนธรรมะและสอนการฝึกสมาธิซึ่งก็ดูจะมีน้อย
วัดสมัยนี้จึงกลายเป็นเพียงสถานที่พักและรับทำบุญเสียส่วนใหญ่ ดังนั้นการที่จะเอาวัดเข้าไปตั้งอยู่ในห้างจึงดูเหมือนว่าจะเป็นการเอาสถานที่รับทำบุญเข้าไปรับทานเสียมากกว่า ส่วนการที่จะเอาธรรมะไปสอนเด็กวัยรุ่นนั้นดูจะยากเพราะสมัยนี้เด็กวัยรุ่นไม่ค่อยจะสนใจธรรมะกันแล้ว อีกอย่างการดำเนินชีวิตของเด็กสมัยนี้มักจะสวนทางกับธรรมะ คือธรรมะจะสอนให้ประหยัด ไม่ฟุ่มเฟือย แต่เด็กสมัยนี้ชอบฟุ่มเฟือย หรือธรรมะจะสอนให้สำรวมเรื่องทางเพศ สตรีไม่แต่งกายยั่วยวน แต่เด็กสาวสมัยนี้ชอบแต่งกายยั่วยวน หรือธรรมะจะสอนให้ตั้งใจเรียน ขยันอดทนทำหน้าที่การงาน แต่เด็กวัยรุ่นสมัยนี้มักจะไม่ชอบเรียนและเกียจคร้านในการทำหน้าที่การงาน เป็นต้น ดังนั้นการเอาวัดเข้าไปตั้งในห้างจึงดูว่าจะเกิดประโยชน์น้อย เพราะเมื่อเด็กวัยรุ่นไม่ชอบธรรมะเสียแล้ว แม้จะเอาวัดเข้าไปตั้งอยู่ใกล้เพียงใดเด็กวัยรุ่นก็ไม่สนใจอยู่ดีเพราะเด็กไม่รู้ว่าจะมีประโยชน์อะไรในการเข้าวัด
อีกอย่างการสอนธรรมะสมัยนี้ก็ไม่เป็นที่ยอมรับของเด็กวัยรุ่น คือมักจะเอาแต่เรื่องนิทานปรัมปราไปเล่าให้เด็กฟัง และสุดท้ายก็มักจะชวนให้เด็กทำบุญ ซึ่งเด็กก็จะเบื่อหน่ายเพราะเห็นสอนอย่างนี้มานมนานไม่พัฒนา แต่ถึงจะสอนเรื่องเหตุผลเด็กก็ไม่ยอมรับอีกเพราะเด็กไม่ถูกปลูกฝังให้เป็นคนฟังเหตุผล คือเด็กสมัยนี้คิดไม่เป็น ไม่รู้ว่าเหตุผลที่สมเหตุสมผลนั้นเป็นอย่างไร เด็กจะรู้จักแต่เรื่องตามใจตนเอง คือเมื่อเกิดความรู้สึกดี หรือเป็นสุขก็จะชื่นชอบและแสวงหารวมทั้งเชื่อถือ แม้สิ่งนั้นจะเป็นสิ่งทำให้เกิดผลที่เลวร้ายตามมาในภายหลังก็ตาม อย่างเช่นการมีคู่ หรือการเที่ยวเตร่ หรือแม้การมีเพศสัมพันธุ์ในวัยที่ยังไม่สมควรก็ตาม ส่วนสิ่งที่แม้จะดีงามแต่ว่ามันอาจจะไม่ค่อยเป็นสุข หรือเมื่อทำใหม่ๆก็อาจจะไม่เป็นที่ชื่นชอบ เด็กก็จะพยายามหลีกหนีและไม่เชื่อถือ อย่างเช่นการตั้งใจเรียน การขยันทำหน้าที่การงาน การไม่มีคู่ การอยู่อย่างสงบ และการละเว้นการมีเพศสัมพันธุ์ในวัยที่ไม่สมควร เป็นต้น
อีกอย่างการเอาพระภิกษุเข้าไปอยู่ในห้างนั้นเป็นการไม่สมควรเพราะห้างเป็นสถานเริงรมย์ หรือเป็นศูนย์รวมของเรื่องกามารมณ์ คือมีมักเด็กสาววัยรุ่นแต่งกายยั่วยวนเข้าไปอยู่เสมอ เมื่อพระภิกษุพบเห็นก็อาจจะทำให้จิตใจแปรปรวนและฟุ้งซ่านจนอาจจะกระทำสิ่งที่ไม่ดีงาม เช่นพูดจาแทะโลมหรือพูดเกี้ยวสตรีหรือลาสิกขาได้โดยง่าย ดังนั้นจึงดูว่าจะมีผลเสียมากกว่ามีผลดี
การกระทำที่ดีที่สุดในการเอาธรรมะไปให้เด็กวัยรุ่นสมัยนี้ก็คือการประยุกติธรรมะให้มีเหตุผล มีประโยชน์ในการดำเนินชีวิตในปัจจุบันจริงๆและนำสอดแทรกเข้าไปในสื่อต่างๆโดยเฉพาะในโทรทัศน์ รองลงไปก็ในหนังสือพิมพ์ วิทยุ และอินเตอร์เน็ต ที่เด็กวัยรุ่นพบเห็นบ่อยที่สุด ซึ่งเราต้องยอมรับว่าสื่อต่างๆเหล่านี้เองที่ครอบงำจิตใจและสร้างค่านิยมต่างๆให้แก่เด็กวัยรุ่นสมัยนี้ ดังนั้นถ้าเราสามารถเข้าถึงสื่อเหล่านี้ได้เราก็จะสามารถนำธรรมะเข้าไปให้เด็กสมัยนี้ได้โดยง่ายและสามารถปรับเปลี่ยนอุปนิสัยของเด็กวัยรุ่นให้ดีงามขึ้นได้โดยง่าย อันจะเป็นผลดีแก่ทั้งตัวเด็กเองและสังคมทั้งในปัจจุบันและอนาคต.
|