ความเห็นแก่ตัวสู่การคดโกง

ปัญหาสำคัญที่ทำให้มนุษย์เดือดร้อนและประเทศชาติไม่พัฒนาก็คือปัญหาเรื่องการคดโกง ซึ่งเราจะมาศึกษากันดูว่าในทางศาสนาจะสอนว่าต้นตอของมันคืออะไรและจะแก้ปัญหานี้ได้อย่างไร?

ต้นตอของปัญหานี้ทางศาสนาจะสอนว่ามันมาจากความเห็นแก่ตัว ซึ่งความเห็นแก่ตัวนี้ก็คือการที่สิ่งมีชีวิตมีความรักตัวเองมากกว่ารักผู้อื่น ดังนั้นการกระทำต่างๆของมนุษย์ล้วนทำไปเพื่อตัวเองทั้งสิ้น ไม่มากก็น้อย ไม่โดยตรงก็โดยอ้อม ไม่ในทางที่ดีก็ในทางที่ชั่ว แม้ว่าการกระทำนั้นบางครั้งอาจจะดูเหมือนว่าทำไปเพื่อผู้อื่นก็ตาม อย่างเช่นคนที่ทำความดี ช่วยเหลือผู้อื่นก็อาจจะทำไปเพื่อเอาหน้าตา เพื่อชื่อเสียงให้แก่ตัวเอง หรือทำไปเพื่อให้สังคมสงบสุขและตัวเองก็จะได้อยู่ในสังคมอย่างสงบสุข เป็นต้น

ความเห็นแก่ตัวนี้ก็เป็นสัญชาติญาณหรือสามัญสำนึกของสิ่งที่มีชีวิตทุกชนิด ถ้าไม่มีสัญชาติญาณนี้สิ่งมีชีวิตก็จะไม่รักตัวเอง และไม่รักษาชีวิตตัวเอง ซึ่งก็จะทำให้สูญพันธ์ไปได้ แต่สัญชาติญาณนี้กลับสร้างปัญหาเพราะเมื่อไม่มีการควบคุมให้เป็นไปในทางที่ถูกต้องดีงาม มันก็ทำให้สิ่งมีชีวิตมีความเห็นแก่ตัวมากขึ้น และมากขึ้นจนหน้ามืดตามัว จนทำให้ไม่เห็นแก่สิ่งมีชีวิตอื่นๆ แล้วก็เอารัดเอาเปรียบสิ่งที่มีชีวิตอื่น อย่างเช่นที่มนุษย์เรากำลังทำกันอยู่นี่เอง

โดยสิ่งที่เห็นง่ายๆก็คือเรื่องการกินอาหาร ที่เรากินเนื้อสัตว์กันได้อย่างมากมายโดยไม่จำเป็น โดยไม่ได้คิดถึงเลยว่าก่อนที่สัตว์มันจะตายมันจะเจ็บปวดทุกข์ทรมานเพียงใด เราลุ่มหลงในรสอาหารที่เอร็ดอร่อยของเนื้อสัตว์จนลืมนึกถือความทุกข์ของพวกมัน ซึ่งก็ทำให้เราเป็นคนที่อัมหิต โหดเหี้ยม ไร้เมตตา เหมือนยักษ์มารที่เขาเปรียบเทียบไว้ หรือเหมือนโจรที่ชั่วร้ายอย่างยิ่งโดยเราไม่รู้ตัว ถึงแม้เราจะไม่ทำเอง แต่ก็ต้องมีคนอื่นมาทำให้ ซึ่งมันก็ไม่ต่างอะไรกันนัก แม้จะเป็นโดยอ้อมก็ตาม เป็นต้น

จากแต่ก่อนมนุษย์จะกินเนื้อสัตว์เพียงเพื่อความอยู่รอดโดยไม่มีเจตนาจะกินเพื่อความเอร็ดอร่อยอย่างมากมายและปรุงแต่งรสให้เอร็ดอร่อยมากมายเหมือนสมัยนี้ แต่เมื่อมีการสืบทอดการกินเนื้อสัตว์นี้มาจนถึงสมัยนี้ที่มนุษย์มีความรู้ มีวัฒนธรรม มีศีลธรรม และมีสติปัญญารู้ว่าอะไรดี อะไรชั่ว อะไรถูก อะไรผิดแล้ว แต่มนุษย์ก็ยังกินเนื้อสัตว์กันอยู่เหมือนเดิม แต่ไม่ได้กินเพียงเพื่อความอยู่รอดเท่านั้น มนุษย์กินเพื่อความเอร็ดอร่อยและลุ่มหลง จนทำให้กินมากเกินความจำเป็น จนสร้างปัญหาให้กับตนเอง อย่างเช่น ทำให้อ้วน ทำให้สิ้นเปลือง ทำให้เกิดโรคต่างๆที่มากับเนื้อสัตว์ ซึ่งก็ส่งผลให้เกิดปัญหาเศรษฐกิจตกต่ำตามมา และปัญหาการคดโกงตามมา เป็นต้น

จากจุดเริ่มต้นที่มนุษย์กินเนื้อสัตว์ด้วยสัญชาติญาณ มาเป็นการกินด้วยความเห็นแก่ตัว คือกินด้วยความลุ่มหลงในรสอร่อย และยิ่งปรุงแต่งให้เอร็ดอร่อยมากขึ้น ก็ยิ่งทำให้มนุษย์เห็นแก่ตัวมากขึ้น อันส่งผลให้เป็นคนใจร้าย ไร้เมตตาไปโดยไม่รู้ตัว ซึ่งคนที่เห็นแก่ตัวจัด ใจร้าย และไร้เมตตานี้เองที่จะทำอะไรไปเพื่อตัวเองโดยไม่คำนึงถึงผู้อื่น แม้ในหมู่เพื่อนมนุษย์ด้วยกัน ดังนั้นการเอารัดเอาเปรียบเพื่อนมนุษย์ด้วยกันในลักษณะต่างๆ เช่นการคดโกงเอาทรัพย์ เอาสิ่งของมีค่าของผู้อื่นมาเป็นของตนเองด้วยวิธีการต่างๆจึงเกิดตามมาอย่างง่ายดาย อย่างที่กำลังเป็นอยู่ในปัจจุบันของสังคมเรา

คนเป็นสัตว์ที่มีมันสมอง มีสติปัญญา รู้จักคิด รู้ว่าอะไรดี อะไรชั่ว และละเลิกการทำชั่ว หันมาทำแต่ความดี จึงเรียกว่าเป็นมนุษย์ ที่หมายถึงสัตว์ประเสริฐ ถ้าไร้สติปัญญาและยังทำชั่วอยู่ ก็ยังคงเป็นเพียงแค่คน ที่เหมือนสัตว์เดรัจฉานทั่วไปนั่นเอง คือทำไปตามสัญชาติญาณดิบ ยังไม่พัฒนาให้สูงขึ้นสมกับเป็นสัตว์ประเสริฐ

สัญชาติญาณของมนุษย์จะต้องควบคุมจึงจะทำให้เป็นคนที่เห็นแก่ตัวน้อย และเห็นแก่ผู้อื่นมากขึ้น ที่เรียกว่าเป็นคนดี คือถึงจะเห็นแก่ตัว แต่ก็เห็นแก่ตัวในทางที่ดี ไม่ทำให้ผู้อื่นหรือชีวิตอื่นเดือดร้อน อย่างเช่นคนที่สร้างประโยชน์ให้แก่สังคม เสียสละเพื่อส่วนรวม ช่วยเหลือคนที่ตกทุกข์ได้ยาก หรือคนที่ซื่อสัตย์สุจริต ไม่คดโกง ไม่เอารัดเอาเปรียบใคร และชอบช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ด้วยกันนั่นเอง คือเป็นการทำเพื่อให้ผู้อื่นมีความสุข อันจะทำให้ตนเองมีความสุขใจและตนเองจะได้อยู่ในสังคมที่สงบสุขด้วย

แต่ถ้าไม่มีการควบคุมสัญชาติญาณ มนุษย์ก็จะมีความเห็นแก่ตัวเพิ่มมากขึ้น โดยไม่เห็นแก่ผู้อื่น แล้วก็จะเอารัดเอาเปรียบ หรือเบียดเบียนผู้อื่นหรือคดโกง รวมทั้งทำร้ายถ้าไม่พอใจ เท่าที่จะทำได้ ที่เรียกว่าเป็นคนทุจริต หรือเป็นคนชั่ว ซึ่งคนชั่วนี้จะเป็นคนที่ไม่มีสติปัญญา หรือเป็นคนโง่ ที่ไม่รู้ว่าการคดโกงของตนเองนั้นนอกจากจะทำให้ตนเองมีความทุกข์ใจ ไม่สบายใจอยู่เสมอแล้ว ยังจะทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน เมื่อผู้อื่นเดือดร้อนก็ย่อมที่จะทำให้เกิดความไม่สงบสุขขึ้นในสังคม แล้วตนเองที่ยังอยู่ในสังคมก็ต้องรับผลความไม่สงบสุขนี้ไปด้วยอย่างไม่มีทางหลีกเลี่ยง นี่ยังไม่รวมถึงการที่อาจจะถูกสังคมหรือกฎหมายลงโทษถ้าถูกจับได้

ในปัจจุบันสังคมของเรามีแต่การคอร์รัปชั่นหรือคดโกงอยู่เต็มไปหมด ซึ่งก็ทำให้สังคมไม่เจริญ ไม่พัฒนา เพราะเมื่อจะมีการใช้งบประมาณมาสร้างความเจริญให้สังคมก็จะถูกสูบ หรือถูกเบียดบังงบประมาณไปอย่างมากมายด้วยผู้ที่มีอำนาจในการจัดสรรงบประมาณนั้น และแม้ในผู้ที่รับงบประมาณมาใช้จ่ายก็ตาม จึงทำให้งบประมาณเหลือน้อยจนไม่สามารถทำอะไรได้ตามที่ต้องการ เหมือนน้ำที่ตักใส่ตุ่มที่รั่วมาก ที่แม้จะตักใส่เท่าไรก็จะรั่วหายจนเกือบหมดนั่นเอง ซึ่งนี่เป็นปัญหาสำคัญที่ทำให้ประเทศชาติไม่พัฒนา และไม่สงบสุข ไม่มั่นคง เพราะมีแต่คนคดโกงอยู่เต็มบ้านเต็มเมือง ซึ่งก็อาจจะรวมเราอยู่คนหนึ่งด้วยก็ได้

การแก้ปัญหาเราอาจจะเห็นว่ามันยาก เพราะมันมีต้นเหตุมาจากจิตใต้สำนึกหรือจากสัญชาติญาณของมนุษย์ที่เปลี่ยนแปลงให้ดีขึ้นได้ยาก และมันก็เป็นไปกันเสียเกือบหมด จะหาคนดีมาเป็นตัวอย่างก็ยากเสียเหลือเกินเพราะเครือข่ายของคนโกงนั้นมันครอบคลุมไปทั่วทุกหัวระแหง ซึ่งทุกคนต่างก็เรียกร้องให้มีการบริหารที่สุจริต โปร่งใส แต่พอตัวเองได้บริหารบ้างก็อดที่จะทุจริตหรือคดโกงไม่ได้ มันจึงเหมือนปัญหาโลกแตกที่ไม่รู้คำตอบที่แท้จริง

สังคมต้องใช้คนดีที่กล้าหาญเด็ดเดี่ยวและเสียสละมาแก้ปัญหานี้ ซึ่งก็ยังพอหาได้ เพราะถ้าไม่มีคนเช่นนี้มาค้ำจุนสังคมเอาไว้บ้าง สังคมก็คงจะล่มสลายไปแล้ว ซึ่งถ้าเราจะหวังให้มีคนดีมากขึ้นในสังคมในอนาคต เราก็ต้องหันมาปลูกฝังศีลธรรมให้แก่เด็กและเยาวชนของเราในทุกๆด้าน ทั้งด้านการเรียนการศึกษา ด้านสื่อต่างๆ และด้านการอบรมเลี้ยงดูของพ่อแม่ผู้ปกครองหรือครูอาจารย์ทั้งหลาย เพื่อทำให้เด็กและเยาวชนของเราเป็นคนที่เห็นแก่ตัวในทางที่ดีงาม ซึ่งจุดสำคัญพ่อแม่ผู้ปกครองหรือครูอาจารย์ก็จะต้องทำตัวเป็นตัวอย่างด้วย คือตัวเองก็จะต้องเสียสละสิ่งที่ไม่ดีงามออกไปจากตัวเองเพื่อเป็นตัวอย่างแก่ลูกหลานด้วย

การแก้ปัญหาด้วยการนำศีลธรรมให้กลับมาสู่ลูกหลานของเรานั้น แม้จะเป็นสิ่งดีแต่ก็ยังไม่ใช่การแก้ปัญหาที่ต้นตอ และทำได้ยาก จะต้องใช้ทั้งอำนาจและการเสียสละอย่าสูง ซึ่งการแก้ปัญหาที่ต้นตอนั้นจะต้องแก้ที่การสร้างความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องในเรื่อง “อนัตตา” ซึ่งเป็นความรู้เรื่องสภาวะของชีวิตมนุษย์และสิ่งทั้งหลายนี้ไม่มีตัวตนที่แท้จริง หรือไม่มีตัวเราจริง คือความรู้นี้จะทำให้รู้ว่าทุกสิ่งเป็นเพียงธรรมชาติที่ถูกสร้างขึ้นมาอย่างน่าอัศจรรย์เท่านั่น ซึ่งธรรมชาติเหล่านี้หาได้มีอยู่หรือตั้งอยู่ไปชั่วนิรันดรไม่ มันเป็นสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นมาชั่วคราวเท่านั้น แม้มันจะเห็นแก่ตัวและกอบโกยเอาอะไรไว้เป็นของตนเองอย่างมากมายสักเพียงใดก็ตาม ก็เท่ากับไม่มีใครที่กอบโกยจริง และก็ไม่ได้อะไรจริง มันมีแต่ความว่างเปล่าทั้งผู้กอบโกยและสิ่งที่กอบโกยด้วย ซึ่งถ้าใครเข้าใจหรือมองเห็นลักษณะของอนัตตานี้ได้จริง เขาก็จะเริ่มลดละคนเห็นแก่ตัวในทางที่ชั่วลง และจะค่อยๆกลับมาเป็นคนเห็นแก่ตัวในทางที่ดี ซึ่งนี่จะเป็นวิธีการแก้ปัญหาที่ต้นตอที่ได้ผลจริง

ความรู้เรื่องอนัตตานี้แม้จะเป็นความรู้ที่มีเหตุมีผล และเป็นประโยชน์ก็ตาม แต่มันก็ยากที่จะมีใครเข้าใจและยอมรับ เพราะมันฝืนจิตใจของเรา หรือฝืนสัญชาติญาณอันเป็นจิตใต้สำนึก ดังนั้นจึงไม่ค่อยจะมีใครนำมาสอน แต่มันก็จำเป็นถ้าต้องการที่จะแก้ปัญหาสังคมอย่างถึงแก่นหรือต้นขั้ว แต่ถ้าไม่ใช้ความรู้เรื่องอนัตตา ก็ไม่สามารถแก้ปัญหาได้จริง จึงขอฝากให้ผู้ที่มีอำนาจนำเรื่องอนัตตานี้ไปศึกษาเพื่อนำมาใช้แก้ปัญหาเรื่องการคดโกงที่จะพาสังคมไปสู่ความล่มจมกันต่อไป.

เตชปญฺโญ ภิกขุ
อาศรมพุทธบุตร เกาะสีชัง ชลบุรี
(ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้จาก www.whatami.net)
*********************