แพ้ชนะนั้นสำคัญไฉน?

ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นมาในโลกนี้ล้วนมีความแตกต่างกัน ซึ่งจากความแตกต่างกันนี้เองที่ทำให้เกิดมีการแข่งขันกันขึ้นว่าสิ่งใดจะดีกว่าสิ่งใด เมื่อสิ่งใดดีกว่าก็เรียกว่าสิ่งนั้นชนะ ส่วนสิ่งที่ด้อยกว่าก็เรียกว่าแพ้

การแพ้หรือชนะนั้นถ้าเราไม่ไปยึดถือกับมันมันก็จะไม่มีความหมายอะไร แต่เมื่อเราไปยึดถือกับมันมันจึงเกิดมีความหมายขึ้นมาทันที ยิ่งเป็นการแข่งของมนุษย์ เช่นการแข่งกีฬาต่างๆก็จะยิ่งมีความหมายยิ่งขึ้นเพราะเราไปยึดถือกับมันมาก เพราะต่างฝ่ายก็อยากจะชนะ ไม่อยากแพ้

สิ่งที่ทำให้เกิดความยึดถือนั้นก็อยู่ที่การยกย่องให้เกียรติแก่ผู้ชนะ และการได้รับรางวัล คือเมื่อมีการแข่งขันก็จะต้องมีผู้แพ้และชนะ ผู้ชนะก็จะได้รับการยกย่องว่าเก่งกว่าผู้แพ้ หรือเหนือผู้แพ้ ซึ่งผู้ชนะก็จะเกิดความพึงพอใจในชัยชนะ ส่วนผู้แพ้ก็จะเกิดความเศร้าเสียใจในความพ่ายแพ้ ส่วนรางวัลก็เป็นสิ่งช่วยให้เกิดความสุขทางกายแก่ผู้ชนะ ผู้แพ้ก็จะไม่ได้รางวัลหรือได้รับน้อยกว่าผู้ชนะ คือสรุปว่าการยกย่องเป็นความสุขทางใจ ส่วนรางวัลเป็นความสุขทางกาย

ความสุขจากการเป็นผู้ชนะนั้นจะได้มาจากความทุกข์ของผู้แพ้ ถ้าการแข่งขันไม่มีผู้แพ้ผู้ชนะก็จะไม่มีใครสุขและทุกข์ ความสุขของผู้ชนะจึงมาจากความทุกข์ของผู้แพ้ ถ้าเราจะพิจารณาให้ดีเราก็จะพบว่าความสุขนี้มันเป็นสิ่งสร้างปัญหา และเป็นความสุขที่น่ารังเกียจ เพราะมันจะทำให้เกิดความแตกแยกระหว่างผู้ชนะและผู้แพ้ขึ้นมาทันทีไม่มากก็น้อย ถึงแม้ปากจะบอกว่ามีน้ำใจนักกีฬาแต่จิตใจมันก็ยังเกิดความโกรธอาฆาตอยู่ลึกๆไม่มากก็น้อย และจะทำให้ผู้แพ้เกิดการจองเวรหรือคิดจะทำให้ผู้ชนะต้องพบกับความพ่ายแพ้อยู่เสมอ ผู้แพ้จึงนอนเป็นทุกข์เพราะคิดแต่จะเอาชัยชนะมาเป็นของตนบ้าง ถ้ามีความโกรธแค้นมากจนทนไม่ไหวก็อาจหาเรื่องทำร้ายผู้ชนะก็ได้เพื่อให้หาย แค้น หรือบางคนเมื่อตนเองพ่ายแพ้ก็เสียใจมากจนถึงขึ้นฆ่าตัวตายไปก็ยังเคยมี ซึ่งนี่คือผลเสียจากการมีผู้ชนะและแพ้

ผู้ที่ชนะจะมีความสุขและดีอกดีใจ แต่เป็นความสุขและความดีใจที่เกิดมาจากความสะใจที่เอาชนะหรือเหนือผู้แพ้ได้ ผู้ชนะที่ยินดีในชัยชนะของตนจึงเท่ากับเป็นการเหยียดหยามผู้แพ้อยู่ในตัว ผู้ชนะที่แสดงอาการดีอกดีใจอย่างยิ่งนั้นจึงดูเหมือนกับเป็นคนที่เย่อหยิ่งและดูถูกผู้แพ้อย่างยิ่ง ทั้งๆชัยชนะที่ได้มานั้นอาจจะเกิดมาจากความบังเอิญหรือจากความสามารถที่เหนือผู้แพ้เพียงเล็กน้อยก็ตาม อีกทั้งอาการนี้ยังเป็นการโอ้อวดว่าตนเองนั้นเก่งกาจอย่างยิ่งอีกด้วย โดยไม่สนใจว่าผู้แพ้จะเสียใจหรือมีความโกรธแค้นอย่างไร ผู้ชนะเช่นนี้จึงเหมือนกับทำสงครามทำร้ายจิตใจของผู้แพ้นั่นเอง ถ้าผู้ชนะจะมีจิตสำนึกและมีความรักต่อผู้แพ้อยู่บ้างเขาก็จะไม่แสดงอาการดีอกดีใจอย่างยิ่งเมื่อได้รับชัยชนะ

ในการแข่งขันกีฬาใหญ่ๆเช่นฟุตบอลนั้นจะมีผู้มาเชียร์นักแข่งทั้งสองฝ่าย ซึ่งผู้เชียร์ก็เหมือนกับว่าตนได้ลงแข่งด้วย เพราะถ้าฝ่ายตนชนะก็จะมีความดีอกดีใจเหมือนผู้แข่งขันที่ชนะด้วย แต่ถ้าฝ่ายตนแพ้ก็จะมีความเสียใจเหมือนผู้แข่งที่แพ้นั้นด้วย ดังนั้นผู้เชียร์จึงมีลักษณะไม่ต่างอะไรกับผู้แข่งที่ชนะและแพ้ คือฝ่ายชนะก็ดีอกดีใจอย่างน่าเกลียด ส่วนฝ่ายแพ้ก็เสียอกเสียใจอย่างน่าสงสาร จึงไม่ใช่สิ่งที่ดีงามเลยในการแข่งขันเพื่อหวังแต่ชัยชนะเช่นนี้

กีฬานั้นเป็นอุบายเพื่อให้คนอยากออกกำลังกายซึ่งนี่คือจุดประสงค์ที่แท้จริงของการเล่นกีฬาเพราะเกิดประโยชน์ต่อร่างกายและจิตใจของผู้ที่เล่นกีฬา แต่เมื่อการเล่นกีฬามากลายเป็นการแข่งขันเพื่อหวังชัยชนะจึงทำให้ผิดจุดประสงค์ที่แท้จริงของการเล่นกีฬาไปเสียแล้ว เหมือนกับว่าทำให้สิ่งบริสุทธิ์มาเศร้าหมอง ยิ่งถ้ามีการเล่นการพนันเข้าร่วมด้วยก็จะยิ่งทำให้การเล่นกีฬาชนิดนั้นยิ่งเศร้าหมองมากยิ่งขึ้น กีฬาสมัยนี้จึงเป็นการเอาศักดิ์ศรีมาต่อสู้กันว่าใครจะมีศักดิ์ศรีมากกว่ากัน หรือเป็นการเอากีฬาออกหน้าแต่มีการพนันตามหลัง

การแข่งขันกีฬาสมัยนี้จึงเป็นการแข่งขันของกิเลส คือแข่งขันเพราะอยากได้ชัยชนะ อยากมีเกียรติ อยากได้รางวัล หรืออยากได้เงินจากการชนะพนัน และแข่งขันเพราะอยากทำร้ายจิตใจฝ่ายตรงข้ามด้วยความโกรธอาฆาต รวมทั้งยังแข่งขันด้วยความกลัวว่าจะพ่ายแพ้อีกด้วย ดังนั้นเรื่องแพ้และชนะจึงเป็นเรื่องที่ไม่ควรเข้าไปยึดถือหรือเกี่ยวข้องเพราะมันอาจจะมีการหลอกลวงซ่อนเร้นอยู่ในการแข่งขั้นนั้นด้วยโดยเราไม่รู้ก็ได้ ถึงแม้มันจะไม่มีการหลอกลวงเรา มันก็ไม่ได้มีความสำคัญอะไรกับเราเลย ฝ่ายใดจะแพ้หรือชนะมันก็ไม่ได้ทำให้เราดีขึ้นหรือหมดทุกข์ไปได้อย่างแท้จริงเลย จะทำได้ก็เพียงทำให้เรามีความสุขใจเพียงชั่วคราวถ้าฝ่ายที่เราเชียร์นั้นชนะ แต่ถ้าฝ่ายที่เราเชียร์แพ้ ก็จะทำให้เราเสียใจไปเปล่าๆโดยไม่ได้อะไร

มีผู้รู้ได้กล่าวเอาไว้ว่า “การชนะผู้อื่นแม้ร้อยครั้งก็ไม่เท่าการเอาชนะใจตนเองได้แม้เพียงครั้งเดียว” ซึ่งเป็นคำกล่าวที่ดีเพราะการเอาชนะผู้อื่นได้นั้นเป็นการเอาชนะของกิเลส หรือตามใจกิเลส ทำให้กิเลสเพิ่มมากขึ้น หรือเท่ากับว่าพ่ายแพ้กิเลส ซึ่งจะมีแต่ผลเสียแก่ตนเอง แต่ถ้าเราสามารถเอาชนะใจตนเองได้ก็เท่ากับเป็นการเอาชนะกิเลสในใจของเราเองได้ และจะทำให้กิเลสในใจเราลดน้อยลงได้ ซึ่งก็จะเป็นผลดีแก่ตัวของเราเอง.

เตชปญฺโญ ภิกขุ
อาศรมพุทธบุตร เกาะสีชัง ชลบุรี
(ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้จาก www.whatami.net)
*********************