นักวิทยาศาสตร์อยู่ไหน?

วิทยาศาสตร์ หมายถึง ความรู้ที่เกิดจากการสังเกตทดลองจากปรากฏการณ์ของธรรมชาติ นักวิทยาศาสตร์ก็คือผู้ที่สังเกตทดลองเพื่อค้นหาความจริงของธรรมชาติ ความเจริญทางวัตถุทั้งหลายเกิดขึ้นจากนักวิทยาศาสตร์เป็นผู้คิดค้นขึ้นมา แต่กว่าที่จะคิดค้นสิ่งใดสิ่งหนึ่งขึ้นมาได้ นักวิทยาศาสตร์จะต้องทุ่มเททั้งแรงกายและแรงใจเป็นอย่างมาก เขาจะต้องทดลองแล้วทดลองอีก แม้จะไม่ประสบผลสำเร็จเขาก็ยังไม่หยุด เขาอาจจะต้องทดลองเป็นร้อย เป็นพันครั้งกว่าจะค้นพบสิ่งใดสิ่งหนึ่งขึ้นมา ถ้าขาดความอดทนก็ไม่มีทางประสบผลสำเร็จได้ แต่ถ้าประสบผลสำเร็จเขาก็จะได้รับสิ่งตอบแทนที่ยิ่งใหญ่เสมอ นี่เองที่ทำให้นักวิทยาศาสตร์มีน้อยเพราะคนที่จะอดทนต่อความผิดพลาดและผิดหวังนานๆนั้นหายาก

นักวิทยาศาสตร์เกิดขึ้นได้อย่างไร? คนที่จะเป็นนักวิทยาศาสตร์อันดับแรกจะต้องเป็นคนช่างสังเกต ช่างสงสัยและอยากรู้ อยากเห็น ต่อไปก็ต้องเป็นคนไม่เชื่ออะไรง่ายๆจนกว่าจะแจ้งประจักษ์ด้วยตนเอง แล้วก็ต้องเป็นคนขยันอดทนที่จะค้นคว้าทดลอง ซึ่งการที่ใครจะมาเป็นนักวิทยาศาสตร์ได้เขาก็จะต้องพอใจหรืออยากจะเป็นนักวิทยาศาสตร์ก่อน ถ้าขาดจุดนี้ก็ไม่มีทางเป็นไปได้

ทำอย่างไรจึงจะมีคนอยากเป็นนักวิทยาศาสตร์? การที่คนอยากจะเป็นนักวิทยาศาสตร์นั้นก็มีหลายสาเหตุด้วยกัน ซึ่งบางคนก็อยากร่ำรวย อยากมีเงินเพราะถ้าคิดค้นอะไรได้และนำลิขสิทธิ์มาขายหรือทำเป็นสินค้ามาขายก็อาจร่ำรวยได้ หรือถ้าเป็นลูกจ้างก็จะได้ขึ้นเงินเดือนหรือได้รางวัลตอบแทน หรือบางคนก็อยากมีชื่อเสียงโด่งดัง มีผู้คนยกย่องไปทั่วโลก หรือบางคนไม่ได้หวังร่ำรวยหรือมีชื่อเสียงแต่อยากรู้ อยากเห็น อยากเข้าใจต่อปรากฏการณ์ของธรรมชาติเท่านั้น หรือบางคนก็อยากคิดค้นอะไรที่จะเป็นประโยชน์ต่อมวลมนุษย์โดยไม่ได้หวังสิ่งใดเป็นสิ่งตอบแทน ซึ่งประเภทหลังนี้นับว่าเป็นคนที่มีจิตใจสูงส่งน่ายกย่อง ส่วนคนที่เพียงอยากรู้อยากเห็นนั้นยังจัดเป็นกลางๆไม่ดีไม่ชั่ว แต่คนที่อยากรวยและอยากมีชื่อเสียงนั้นจะมีแนวโน้มไปในทางที่ไม่ดีอยู่ไม่มากก็น้อย เพราะทำไปเพื่อตนเองเป็นหลัก

ในปัจจุบันใครๆก็อยากร่ำรวยและมีชื่อเสียง ดังนั้นคนที่อยากเป็นนักวิทยาศาสตร์สมัยนี้จึงอยากเป็นนักวิทยาศาสตร์เพราะอยากร่ำรวยและมีชื่อเสียง ถ้าให้เป็นนักวิทยาศาสตร์เพื่อเสียสละแก่เพื่อนมนุษย์โดยไม่ได้รับอะไรตอบแทนก็ไม่มีใครอยากจะทำ ถ้าทำแล้วมีชื่อเสียงบ้างถึงแม้จะไม่ได้เงินก็ยังจะพอมีคนทำ ซึ่งประเภทหลังนี้ก็นับว่ายังมีส่วนดีอยู่มากถึงแม้จะไม่เต็มที่ก็ตาม ซึ่งก็เป็นธรรมดาของคนทั่วๆไปที่ยังติดอยู่ในชื่อเสียง

ส่วนนักวิทยาศาสตร์ที่บริสุทธิ์ ที่คิดค้นสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อเพื่อนมนุษย์โดยไม่หวังสิ่งใดตอบแทนนั้นก็คงจะมีอยู่บ้างแค่ทว่าคงหายาก เพราะจะต้องเป็นคนที่เข้าใจชีวิต เข้าใจว่าเกียรติยศ ชื่อเสียง และความร่ำรวยนั้นเป็นสิ่งชั่วคราว ไม่ถาวร และไม่สามารถทำให้จิตใจของคนเรามีความสงบเย็นได้ มีแต่จะทำให้เกิดความเร่าร้อนวุ่นวายอย่างไม่มีที่สิ้นสุด สุดท้ายเมื่อจะต้องตายก็จะทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัสและไม่ได้อะไรเลย สู้เป็นคนธรรมดา ใช้ชีวิตที่เรียบง่าย และช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ด้วยกันจะดีกว่า เพราะจะทำให้มีความภาคภูมิใจที่ได้เสียสละเพื่อเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน รวมทั้งยังทำให้จิตใจสงบเยือกเย็น และไม่เป็นทุกข์เมื่อจะต้องตาย ซึ่งคนที่มีความคิดเช่นนี้เท่านั้นจึงจะเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่บริสุทธิ์ได้

พ่อแม่ที่อยากจะให้ลูกเป็นนักวิทยาศาสตร์ก็ต้องมองหาจุดที่จะชักนำให้ลูกมาเป็นนักวิทยาศาสตร์ ซึ่งก็คงไม่พ้นความร่ำรวยและชื่อเสียง แต่ก็อาจมาเปลี่ยนแปลงให้ดีขึ้นได้เมื่อลูกโตขึ้นมีความคิดแล้ว แต่จะให้ดีควรปลูกฝังให้ลูกเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่บริสุทธิ์จะดีกว่า เพราะถ้าปลูกฝังในทางที่ไม่ดีมาเสียแล้วก็อาจจะเปลี่ยนแปลงไม่ได้เมื่อโตขึ้น แต่ถ้าปลูกฝังในทางที่ดีมาตั้งแต่ต้นแล้วก็ย่อมที่จะมีแนวโน้มที่จะดีตลอดไปได้

ส่วนการปลูกฝังนั้นพ่อแม่ก็ต้องฝึกนิสัยของนักวิทยาศาสตร์ให้แก่ลูก โดยการสอนให้ลูกเป็นคนช่างสังเกต ช่างคิด ช่างทำ มีความระเอียดรอบครอบ รู้จักจดบันทึก สนใจที่จะแก้ปัญหา ไม่หนีปัญหา สนใจที่จะคิดค้นสิ่งใหม่ๆ รู้จักใช้เหตุผลในการคิด มีความขยัน อดทน และพากเพียร เรื่องเหตุผลเป็นเรื่องสำคัญ เพราะเหตุผลจะนำไปสู่ความจริงได้ เมื่อเราทำเหตุอะไรลงไป มันก็จะมีผลนั้นตอบแทน ถ้าไม่ทำเหตุก็จะไม่มีผล ซึ่งเรื่องเหตุผลก็จะทำให้เป็นคนฉลาด ไม่งมงายไร้เหตุผล รู้จักแก้ปัญหาได้ดี ที่สำคัญเหตุผลก็ต้องเป็นเหตุผลที่มีจริง หรือปรากฏให้เห็นจริงได้ ไม่ใช่เหตุผลลอยๆที่ไม่มีของจริงมายืนยัน

อุปสรรคของการเป็นนักวิทยาศาสตร์ก็คือความเกียจคร้าน เพราะพ่อแม่มักจะตามใจลูก เมื่อลูกอยากจะได้อะไรก็หามาให้ ลูกจึงกลายเป็นคนขาดเหตุผล คือจิตใต้สำนึกจะเกิดความรู้ว่าจะเกิดผลโดยไม่ต้องสร้างเหตุก็ได้ ซึ่งจะทำให้ลูกมีนิสัยชอบรับแต่ผลโดยไม่ชอบสร้างเหตุ ซึ่งก็เท่ากับเป็นคนเกียจคร้านไม่ชอบทำงาน ไม่มีความรับผิดชอบ ชีวิตก็จะไม่เจริญก้าวหน้าและเป็นนักวิทยาศาสตร์ไม่ได้ และอาจจะกลายเป็นนักไสยศาสตร์ที่เอาแต่พึ่งคนอื่น หรือพึ่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้ช่วยโดยไม่สร้างเหตุให้ถูกต้อง หรืออาจกลายเป็นนักพนันที่อยากรวยเร็วๆโดยไม่ต้องทำงานหนักก็ได้ หรืออาจกลายเป็นคนที่ชอบเบียดเบียนเอาทรัพย์ของผู้อื่นมาเป็นของตนเองด้วยวิธีการต่างๆโดยตนเองไม่ต้องทำงานก็ได้

วิทยาศาสตร์ไม่ใช่จะมีแต่ทางด้านวัตถุเท่านั้น แม้เรื่องทางจิตใจก็เป็นวิทยาศาสตร์ได้ คือมีการศึกษาทดลองจากของจริงได้ อย่างเช่นเมื่อทำความดีแล้วก็สังเกตได้ว่าจิตใจจะเป็นสุข แต่ถ้าทำชั่วจิตใจก็จะเป็นทุกข์ หรือถ้าจิตเกิดความโลภ หรือความโกรธ หรือความลังเลใจก็จะทำให้จิตใจเร่าร้อน ไม่สงบ แต่ถ้าจิตไม่มีความโลภ ความโกรธ และความลังเลใจมันก็จะสงบเย็นทันที เป็นต้น ซึ่งเป็นสิ่งที่ทุกคนสามารถพิสูจน์ทดลองให้เห็นจริงได้ด้วยตนเองโดยไม่ต้องเชื่อจากคนอื่น ดังนั้นเรื่องทางจิตใจก็สามารถใช้หลักวิทยาศาสตร์มาพิสูจน์ทดลองได้

นักวิทยาศาสตร์จะเป็นบุคคลพิเศษที่ต่างจากคนอื่น คือคนทั่วไปจะเป็นคนที่ทำอะไรลวกๆไม่ค่อยจะสนใจพินิจพิจารณาอะไรจริงจัง แม้พบสิ่งแปลกประหลาดก็จะเห็นเป็นเรื่องไสยศาสตร์หรือเหนือธรรมชาติไปเสีย แต่นักวิทยาศาสตร์จะสนใจสังเกตสิ่งต่างๆรอบตัว และใช้เหตุผลในการพิจารณาอย่างจริงจัง ถ้าไม่เข้าใจหรือไม่เห็นจริงก็จะไม่ยอมหยุด ซึ่งคนทั่วไปก็อาจจะมองว่าเขาเป็นคนบ้าหรือสติไม่ดีก็ได้ ซึ่งก็เป็นธรรมดาที่คนเราจะมองคนที่ทำอะไรต่างจากตนเองว่าบ้าบอ เหมือนคนบ้าที่มองคนดีว่าบ้า

เมื่อมองดูผู้คนในสังคมเราก็จะพบว่าจะหาคนที่เป็นนักวิทยาศาสตร์แม้เพียงผิวเผินยากเต็มที โดยเฉพาะเด็กสมัยใหม่ที่เอาแต่ลุ่มหลงเทคโนโลยี่ที่นักวิทยาศาสตร์จากต่างชาติเขาคิดค้นและผลิตมาขายให้เรา เราเอาแต่เสพผลโดยไม่รู้จักสร้างเหตุ เราไม่มีความรู้แม้พื้นฐานเลยว่าเทคโนโลยี่เช่นโทรศัพท์มือถือ หรือคอมพิวเตอร์ที่เราใช้อยู่นี้มันผลิตขึ้นมาได้อย่างไร? และทำงานได้อย่างไร? ยิ่งวิธีการดูและซ่อมแซมในขั้นต้นนั้นก็ยังทำไม่ได้ แล้วอย่างนี้เราจะหาความเป็นนักวิทยาศาสตร์ในหมู่เด็กสมัยใหม่ได้อย่างไร? มันเป็นการศึกษาที่ผิดพลาดหรือเปล่า? เราสอนให้เด็กของเรารู้จักว่ากว่าที่ใครจะคิดค้นสิ่งใหม่ๆขึ้นมาได้นั้นเขาต้องใช้ความอดทนและสังเกตอย่างมากเพียงใดบ้างหรือเปล่า?

สื่อต่างๆก็เอาแต่มอมเมาเพื่อขายสินค้าโดยไม่คำนึกถึงว่าเด็กและเยาวชนของเราจะโง่เขลามากขึ้นเพียงใด แล้วอย่างนี้ประเทศชาติของเราจะเจริญขึ้นมาได้อย่างไรถ้าเรายังไม่หันมาช่วยกันสร้างนักวิทยาศาสตร์ให้แก่ประเทศชาติของเรากันอย่างจริงจัง ก็คงได้แต่หวังว่าอนาคตสักวันผู้คนจะเห็นความสำคัญของการเป็นนักวิทยาศาสตร์กันบ้าง ถ้าไม่อย่างนั้นก็อย่าหวังว่าประเทศชาติจะเจริญก้าวหน้า จะมีก็แต่ความตกต่ำถดถอย และล้าหลังเป็นทาสของประเทศชาติอื่นเขาเรื่อยไป.

เตชปญฺโญ ภิกขุ
อาศรมพุทธบุตร เกาะสีชัง ชลบุรี
(ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้จาก www.whatami.net)
*********************