เมืองพุทธอาจไม่มีพุทธศาสนา

ศาสนาเป็นหลักการปฏิบัติเพื่อให้เกิดความปกติสุขแก่จิตใจของผู้ที่นับถือศาสนาและแก่สังคมที่นับถือศาสนาด้วย ซึ่งศาสนาทุกศาสนาล้วนมีจุดหมายที่เหมือนกันตรงนี้คือเพื่อให้เกิดความปกติสุขแก่ผู้นับถือและเพื่อให้เกิดความสงบสุขแก่สังคม รวมทั้งเพื่อให้เกิดสันติภาพแก่โลกเป็นจุดสูงสุด

อะไรคือความปกติสุข? ก็คงเดาไม่ยากเพราะมันคือความสงบสุข ไม่มีปัญหา ไม่มีความเดือดร้อน ผู้คนในสังคมมีความเป็นมิตรต่อกัน ช่วยเหลือกัน ไม่เอารัดเอาเปรียบกัน ถึงแม้ในสังคมจะมีคนไม่ดีอยู่บ้างแต่ก็จะถูกคนดีในสังคมที่มีมากกว่าควบคุมดูแลไม่ให้ทำสิ่งที่ไม่ดีแก่สังคมได้

ประเทศไทยจัดว่ามีคนที่นับถือพุทธศาสนามากกว่านับถือศาสนาอื่น ซึ่งถ้ามองอย่างกว้างๆก็จะเห็นว่าสังคมไทยยังคงมีความปกติสุขอยู่ แต่ถ้ามองอย่างละเอียดลึกซึ้งแล้วกลับไม่เป็นเช่นนั้น เพราะในปัจจุบันสังคมในเมืองใหญ่ๆกลับเป็นสังคมของคนที่เห็นแก่ตัว หรือตัวใครตัวมัน ไม่ค่อยจะสนใจคนอื่น ความสงบสุขหาไม่ค่อยจะได้ ผู้คนต้องระมัดระวังตัวอยู่เสมอ เพราะมีทั้งอุบัติเหตุที่อาจเกิดขึ้นเมื่อไรและที่ไหนก็ได้ และมีทั้งคนที่จ้องจะเอารัดเอาเปรียบอยู่ทุกหนทุกแห่ง ถ้าเผลอเมื่อไรก็จะถูกเบียดเบียนทันที ผู้คนต่างก็ไม่มีความสบายใจหรืออุ่นใจอย่างเต็มที่เลย วันๆมีแต่ความวิตกกังวลต่างๆนาๆ ส่วนสภาพแวดล้อมก็มีแต่ขยะ น้ำเน่า ควันพิษ และตึกรามบ้านช่องแออัด ต้นไม้สักต้นก็หายาก จนคนในเมืองส่วนมากเป็นโรคประสาทอ่อนๆกันไปหมดแล้ว

ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น? ซึ่งเหตุผลก็บอกอยู่แล้วว่าสังคมในเมืองใหญ่ๆนั้นหาความปกติสุขไม่ค่อยได้ และเหตุที่หาความปกติสุขไม่ได้ก็เพราะผู้คนไม่ค่อยจะปฏิบัติตามหลักของพุทธศาสนากันแล้ว แม้ศีล ๕ ซึ่งเป็นหลักปฏิบัติพื้นฐานก็ยังปฏิบัติกันไม่ค่อยจะได้ แล้วอย่างนี้จะเรียกว่าเมืองพุทธมีพุทธศาสนาได้อย่างไร?

ชาวพุทธที่แท้จะต้องมีความเมตตาปราณี มีกิริยามารยาทอ่อนหวาน พูดจาไพเราะ มีน้ำใจงาม ชอบช่วยเหลือผู้อื่นที่ตกทุกข์ได้ยาก ไม่ชอบเบียดเบียนใคร ไม่ทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน มีความขยันอดทน มีความรับผิดชอบ และใช้ชีวิตที่เรียบง่าย ซึ่งคนที่จะมีลักษณะเช่นนี้อย่างครบถ้วนดูจะหาได้ยากเต็มที อย่างดีก็เพียงมีคุณสมบัติเหล่านี้อยู่บ้างเท่านั้น แต่ส่วนใหญ่จะมีน้อยหรือไม่มีเลย ยิ่งเด็กสมัยใหม่ก็ยิ่งจะหาความเป็นพุทธที่แท้ได้ยากเต็มที ทั้งๆที่บอกว่านับตนเองถือพุทธศาสนา

ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น? ลองมองดูว่าเด็กสมัยนี้ส่วนมากเป็นเช่นไร? กิริยามารยาทก็หาความเป็นผู้ดีได้ยาก พูดจาก็หาความไพเราะได้ยาก น้ำใจก็คับแคบ ไม่สนใจคนอื่นว่าใครจะเดือดร้อน ถ้าเอาเปรียบใครได้ก็จะรีบทำ ชอบสร้างความเดือดร้อนให้แก่ผู้อื่น ชอบความหรูหราฟุ่มเฟือย ไม่มีขยันความอดทน ไม่มีความรับผิดขอบ มีแต่ความลุ่มหลงสิ่งไร้สาระอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ซึ่งแม้เด็กทุกคนจะไม่เป็นเช่นนี้ แต่ก็มีแนวโน้มว่าจะมีมากขึ้นเรื่อยๆและในอนาคตอาจจะเป็นไปกันหมดโดยไม่รู้ตัว

คนที่มีทรัพย์สินของมีค่าก็ต้องหวาดระแวงว่าจะถูกลักขโมย หรือถูกจี้ปล้น ฉกชิงวิ่งราว หรือถูกคดโกง คนที่มีลูกหลานก็ต้องห่วงใยว่าจะถูกหลอกลวงไปในทางไม่ดีหรือไปติดสิ่งเสพติด ผู้หญิงและเด็กสาวก็ต้องระวังตัวเพราะผู้ชายชั่วมีมาก จะถูกล่อลวงหรือถูกฉุดเอาไปข่มขืนได้อย่างง่ายๆแม้จะยืนอยู่ในท่ามกลางคนมากมายก็ตาม เด็กวัยรุ่นที่พ่อแม่ตามใจก็ชอบขับรถมอเตอร์ไซด์แข่งกันตามถนนหลวงสร้างความเดือดร้อนให้แก่ชาวบ้าน บางคนก็ชอบดมกาว ติดเกมส์ และลักขโมยเงินพ่อแม่เพื่อซื้อหาสิ่งเหล่านี้

ส่วนนักเรียนอาชีวะก็ชอบยกพวกตีกัน หรือดักทำร้ายคู่อริด้วยการใช้อาวุธปืนยิงจนทำให้คนอื่นที่ไม่เกี่ยวข้องพลอยเดือดร้อนไปด้วย บางทีเดินอยู่ดีหรืออยู่ในรถประจำทางก็ถูกล้วงกระเป๋าเอาเงินไปจนหมด พวกเด็กรถบางคนก็มารยาททรามที่สุด เวลาผู้โดยสารจะขึ้นก็เร่งรีบผลักดันให้ขึ้น ขึ้นมาแล้วก็ยังข่มขู่ไล่ให้เดินไปเบียดกันอยู่กลางๆรถ เวลาจะลงก็ขับไสไล่ส่งให้รีบลง ส่วนถ้าจะนั่งรถแท็กซี่ก็ต้องระวังทั้งผู้โดนสารและคนขับ บางทีคนโดยสารก็ถูกคนขับจี้ปล้นหรือพาหญิงสาวไปข่มขืน บางทีคนขับก็ถูกคนโดยสารจี้เอารถ เอาเงิน บางทีถ้าคนขับต่อสู้ก็ถูกทำร้ายจนตาย

เด็กวัยรุ่นสมัยใหม่บางคนกระเลวกระราดที่สุด เหมือนพวกสุนัขอันธพาล เพราะกิริยามารยาทก็เลวทรามต่ำช้า ตั้งแก๊งกันสร้างอิทธิพลข่มขู่ชาวบ้านหรือรีดไถเก็บค่าคุ้มครอง ส่วนมากจะลักเล็กขโมยน้อยหรือจี้ปล้นฉกชิงวิ่งราว สร้างความเดือดร้อนให้แก่คนดีไปทั่ว ทำให้นอนไม่หลับเพราะต้องคอยระแวงว่าจะถูกพวกวัยรุ่นทำร้ายหรือลักขโมย ใครมีลูกสาวก็ต้องอย่าเผลอให้ไปที่เปลี่ยวเด็ดขาด ถ้าเผลอมีสิทธิ์ถูกฉุดเอาไปข่มขืนได้อย่างง่ายดาย แม้ตำรวจก็เอือมระอาที่จะตามจับ เพราะมีมากมายไปทั่ว คุกตะรางก็มีแต่คนติดยาเสพติดและพวกอันธพาลจนล้นไม่มีคุกจะอยู่

นี่หรือเมืองพุทธ เมืองในฝันของชาวต่างชาติที่ฝันว่าเป็นสยามเมืองยิ้ม ที่ผู้คนมีน้ำใจงาม ใบหน้ามีแต่รอยยิ้ม และการช่วยเหลือ แต่พอชาวต่างชาติเขามาเจอเข้าจริงๆกลับเป็นตรงกันข้าม จนทำให้เขาดูถูกว่าทำไมพุทธศาสนาไม่ช่วยให้จิตใจของคนที่นับถือดีขึ้นเลย กลับทำให้คนนับถือเลวทรามต่ำช้าลง เขาเลยเหมาเอาว่าพุทธศาสนาไม่มีอะไรดีเลย เพราะคนนับถือก็ไม่ได้ดีไปกว่าคนป่าคนเถื่อนที่ไร้การศึกษาเลย

การเป็นชาวพุทธที่แท้จริงไม่ใช่อยู่ที่ทะเบียนบ้านหรือบัตรประชาชน หรืออยู่เพียงแค่การไหว้พระ หรือ แขวนเครื่องรางของขลังที่เป็นพระพุทธรูปเล็กๆไว้ที่คอเท่านั้น ซึ่งนั่นไม่ใช่สิ่งที่จะแสดงว่าเป็นชาวพุทธเลย แม้การที่จะตักบาตรทำบุญมากมายเพื่อหวังร่ำรวยหรือขึ้นสวรรค์เมื่อตายไปแล้วก็ยังเป็นชาวพุทธเพียงผิวๆเท่านั้น การเป็นชาวพุทธที่แท้จริงจึงไม่ใช่อยู่ที่รูปลักษณ์ภายนอก แต่อยู่ที่การปฏิบัติตามคำสอนของพุทธศาสนาอย่างจริงจัง

ชาวพุทธที่แท้จริงนั้นภายนอกจะต้องเป็นคนดี ไม่ทำความชั่ว และเป็นคนมีกิริยามารยาทงดงาม พูดจาไพเราะ ซึ่งเพียงเท่านี้ก็เรียกว่าเป็นชาวพุทธที่แท้จริงแล้วครึ่งหนึ่ง ส่วนภายในก็ต้องเป็นคนฉลาดรอบรู้ในเรื่องของการดำเนินชีวิตที่สงบสุข ซึ่งก็จะทำให้เป็นชาวพุทธที่แท้จริงได้อย่างเต็มเปี่ยม ส่วนภายนอกนั้นจะเป็นชนชาติใดหรือพูดภาษาอะไร หรือจะนับถือลัทธิศาสนาอะไรก็ตามก็ไม่สำคัญ

ชาวต่างชาติที่เป็นคนดี ไม่ทำชั่วและมีกิริยาวาจาดีงามนั้นยังจะเป็นชาวพุทธที่แท้จริงมากเสียกว่าชาวพุทธที่บอกว่าตนเองนับถือพุทธศาสนาแต่ว่าไม่ได้ทำตามคำสอนของพุทธศาสนาเลย และเมื่อมองความเป็นพุทธที่แท้จริงกันเช่นนี้แล้วก็คงจะหาพุทธศาสนาที่แท้จริงในเมืองพุทธได้ยากเต็มที จะมีก็แต่พุทธเทียมๆที่มีแต่รูปลักษณ์ภายนอกหรือสัญลักษณ์แสดงว่าเป็นชาวพุทธเท่านั้น ภายในกลับว่างเปล่าจากการปฏิบัติเพื่อเป็นชาวพุทธที่แท้จริง จึงเป็นสิ่งที่ชาวพุทธทั้งหลายจะสำนึกและหันมาดูตนเองว่าเป็นชาวพุทธที่แท้จริงกันมากน้อยเพียงใด.

เตชปญฺโญ ภิกขุ
อาศรมพุทธบุตร เกาะสีชัง ชลบุรี
(ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้จาก www.whatami.net)