ทำไมจึงต้องมีธรรมะ?

ธรรมะอันหมายถึงหลักการปฏิบัติที่ดีงามนี้ก็มีหลักปฏิบัติอยู่ ๓ ประการคือ (๑) ละเว้นความชั่วทั้งปวง (๒) ทำดีให้พร้อมมูล และ (๓) ทำจิตให้บริสุทธิ์ ซึ่งความชั่วที่ควรละเว้นโดยสรุปก็คือการประทุษร้ายชีวิตและทรัพย์สินทั้งของผู้อื่นและของตนเอง ส่วนความดีที่ควรปฏิบัติโดยสรุปก็ได้แก่การเป็นมิตรกับทุกคน ช่วยเหลือผู้ที่กำลังเดือดร้อนเป็นทุกข์ และปฏิบัติหน้าที่ของตนอย่างถูกต้อง ส่วนการทำจิตให้บริสุทธิ์ก็คือการฝึกฝนอบรบจิตเพื่อให้ปราศจากความโลภ โกรธ และความโง่ทั้งปวง

ทำไมจึงต้องมีธรรมะ? มนุษย์ทุกคนย่อมเกลียดกลัวความทุกข์และอยากมีความสุข ซึ่งการทำความชั่วนั้นย่อมมีผลเป็นความทุกข์ความเดือดร้อนทั้งแก่ตนเองและผู้อื่น และนำมาซึ่งความพินาศ จึงเป็นสิ่งที่ควรละ ส่วนการทำความดีนั้นย่อมมีผลเป็นความสุขสงบทั้งแก่ตนเองและผู้อื่น จึงเป็นสิ่งทีควรปฏิบัติ ส่วนการทำจิตให้บริสุทธิ์นั้นจะทำให้ผู้ปฏิบัติมีความทุกข์ทางใจลดน้อยลง หรือไม่มีเลยก็ได้ถ้าปฏิบัติได้ถูกต้องสมบูรณ์

ชีวิตของเรานี้ตั้งแต่เกิดจนตายถ้ามีธรรมะเป็นหลักในการดำเนินชีวิตก็ย่อมที่จะมีทุกข์น้อยแต่ว่ามีสุขมาก แต่ถ้าเหินห่างธรรมะก็ย่อมที่จะมีทุกข์มากแต่ว่ามีสุขน้อย ธรรมะจึงเป็นสิ่งสำคัญสำหรับชีวิต ถ้าขาดธรรมะก็เท่ากับหลักการของชีวิตที่ดี และชีวิตก็ย่อมที่จะเดินไปตามหลักการที่ไม่ดี ซึ่งการมีธรรมะนั้นเป็นเรื่องง่ายสำหรับผู้ที่ได้รับการอบรมมาดีตั้งแต่ยังเด็กๆ แต่จะยากสำหรับผู้ที่เพิ่งมาเริ่มอบรมเอาเวลาที่โตแล้ว เพราะมันจะฝืนจิตใจ

ตามธรรมชาติของจิตใจคนเรานี้ย่อมที่จะไหลไปตามความรู้สึกฝ่ายต่ำ คือจะเอาแต่ความสุขสบายและหลีกหนีหรือทำลายความทุกข์ยากลำบากที่เกิดเฉพาะหน้า โดยไม่สนใจว่าการกระทำนั้นจะดีหรือชั่ว ซึ่งการทำสิ่งที่ดีนั้นมันจะยากลำบากหรือไม่ค่อยจะสนุกสนานจึงไม่ค่อยจะมีใครอยากทำ แต่การทำสิ่งที่ชั่วหรือไม่ดีนั้นมันง่ายกว่าและมักจะสนุกสนานจึงมีผู้คนนิยมทำกันมาก ธรรมะจึงเป็นการกระทำที่ฝืนจิตใจฝ่ายต่ำเป็นอย่างมาก และเมื่อผู้คนมีอิสระในการเลือกปฏิบัติ จึงทำให้ผู้คนเหินห่างธรรมะกันมากขึ้น นี่เองที่ทำให้บางศาสนาใช้วิธีบังคับให้ผู้นับถือต้องมีธรรมะหรือต้องปฏิบัติตามหลักของศาสนาอย่างเคร่งครัด ถ้าใครฝ่าฝืนจะถูกลงโทษอย่างหนัก ซึ่งก็ทำให้สังคมของเขามีความสงบสุขมาตลอดเวลาที่ผู้คนยังมีธรรมะกันอยู่

ผู้คนสมัยใหม่นี้ไม่ค่อยจะสนใจธรรมะกันแล้ว เขาเป็นคนที่เห็นแก่ตัวมากขึ้น และเห็นคนอื่นไร้ค่าเหมือนผักปลาที่มีไว้ให้เขากิน ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะสิ่งยั่วยวนให้เกิดความสุขสนุกสนานนั้นมีมากขึ้นและวิจิตรพิสดารมากขึ้น พร้อมทั้งแสวงหาได้ง่ายขึ้นเพราะมีพลังงานและเทคโนโลยี่ทันสมัยมาช่วยเหลือ ซึ่งมันเหมือนเหยื่อล่อที่น่ารักน่าหลงใหลอย่างยิ่งที่หาได้ง่ายจนไม่มีใครอยากจะละทิ้งมันไป ทั้งๆที่อาจจะรู้ว่ามันเป็นกับดักไปสู่ปัญหาและความทุกข์ความเดือดร้อนอย่างยิ่งในอนาคตก็ตาม ซึ่งก็แน่นอนว่าสังคมจะเลวทรามมากขึ้นและหาความสุขสงบได้ยากขึ้นอย่างเช่นที่กำลังเป็นอยู่ในสังคมของเราปัจจุบัน

สมัยนี้ใครๆก็อยากจะร่ำรวย เพราะการมีทรัพย์มากก็เท่ากับจะซื้อหาสิ่งให้ความสุขสนุกสนานได้มากขึ้น ดังนั้นผู้คนจึงเห็นแก่ตัวมากขึ้น แสวงหาและกอบโกย รวมทั้งเก็บกักตุนเอาไว้เป็นของตนเองมากขึ้น ซึ่งก็มีทั้งอย่างที่ผิดกฎหมายและถูกกฎหมาย ซึ่งมันก็ย่อมที่จะทำให้ผู้คนถูกเบียดเบียนมากขึ้น และทรัพยากรเช่น ป่าไม้ ภูเขา แม่น้ำ ลำคลอง และทะเลก็ถูกทำลายลงอย่างย่อยยับมากขึ้นทั้งอย่างถูกกฎหมายและผิดกฎหมาย ซึ่งก็ทำให้ผู้ที่ถูกเบียดเบียดนั้นมีความทุกข์ความเดือดร้อนมากขึ้น และแน่นอนว่าเมื่อมีผู้คนเดือดร้อนมากขึ้น ความโกรธเกลียดกันก็ย่อมที่จะมีมากขึ้น ซึ่งก็จะส่งผลให้สังคมไม่สงบสุข และมันก็ย่อมที่จะมีผลกลับมาถึงผู้ที่เห็นแก่ตัวนั่นเองในที่สุด

อีกอย่างผู้คนสมัยนี้มีความอดทนน้อยและมีความเกียจคร้านมากขึ้น การทำงานหนักที่ต้องใช้แรงกายและต้องทนต่อความร้อนความหนาวนั้นไม่มีใครอยากทำ จึงทำให้ต้องใช้พลังงานและเทคโนโลยี่มาช่วยทำแทน รวมทั้งสิ่งของฟุ่มเฟือยที่เป็นของกินของเล่นก็มีมากมายเต็มไปหมด ซึ่งก็ทำให้ต้องสูญเสียทรัพย์ในการซื้อหามามากขึ้น และก็ส่งผลให้ต้องเสียดุลการค้ากับประเทศอื่นมากขึ้น และส่งผลทำให้ประเทศเรายากจนลงเรื่อยๆ

สังคมของเราเปลี่ยนจากสังคมที่เรียบง่ายมาเป็นสังคมบริโภคนิยมหรือฟุ้งเฟ้อฟุ่มเฟือยกันไปเสียแล้ว เรากินเราใช้กันอย่างฟุ่มเฟือยตามค่านิยมของสังคมของชาวตะวันตก ที่เขามีความรู้ความสามารถที่จะผลิตสิ่งฟุ่มเฟือยขึ้นมาเสพและมาขายให้แก่เรา ซึ่งแน่นอนว่าคนขายย่อมได้เปรียบกว่าคนซื้อ ดังนั้นยิ่งเราฟุ่มเฟือยเราก็จะยิ่งยากจนลงเรื่อยๆ ซึ่งก็เท่ากับตกเป็นทาสของเขาไปด้วยความยินดี

ถ้าเราไม่หันกลับมามีธรรมะเหมือนสมัยที่ปู่ ย่า ตา ยายของเราเคยมีกันมาก่อน ไม่กลับมาใช้ชีวิตที่เรียบง่าย ไม่มีเมตตารักใคร่สามัคคีดันต่อกัน ไม่ขยันอดทน และไม่รักษาป่าไม้ หรือแม่น้ำลำคลอง ท้องทะเลกันเสียแล้ว ก็แน่นอนว่าสังคมของเราจะไม่สงบสุข จะมีแต่ปัญหาและความทุกข์ความเดือดร้อนกันอยู่เรื่อยไปอย่างที่กำลังเป็นอยู่ในปัจจุบัน และไม่นานสังคมก็จะล่มสลาย และตกเป็นทาสของประเทศชาติอื่นที่เขาเข้มแข็งกว่าไปอย่างไม่มีทางหลีกเลี่ยง.

เตชปญฺโญ ภิกขุ
อาศรมพุทธบุตร เกาะสีชัง ชลบุรี
(ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้จาก www.whatami.net)