พุทธศาสตร์กับไสยศาสตร์

ในปัจจุบันยังคงมีคนเข้าใจผิดในเรื่องระหว่างพุทธศาสตร์กับไสยศาสตร์อยู่มาก จะเห็นได้จากความเชื่อที่งมงายทั้งหลายที่ทำให้ผู้คนถูกหลอกลวงจนเสียเงินเสียทองไปมากมาย และบางคนก็ยังถึงขั้นเสียตัวไปก็มี อย่างเช่นคนที่ต้องการทำเสน่ห์ให้คนอื่นรัก แล้วก็ถูกคนทำเสน่ห์นั่นเองหลอกข่มขืน เป็นต้น ดังนั้นเราจะมาทำความเข้าใจระหว่างพุทธศาสตร์กับไสยศาสตร์ให้ถูกต้อง เพื่อขจัดความงมงายให้หมดสิ้นไปจากพุทธศาสนา

คำว่าไสยศาสตร์ หมายถึง วิชาของคนหลับ หรือคนยังไม่ตื่น ซึ่งก็หมายถึงคนโง่ที่ยังไม่ฉลาด ไม่เป็นผู้รู้แจ้งเห็นจริง ซึ่งจะตรงข้ามกับพุทธศาสตร์ ที่หมายถึง วิชาของผู้รู้แจ้งเห็นจริง ซึ่งพุทธศาสตร์จะเป็นเรื่องที่ประกอบด้วยเหตุผล พิสูจน์ได้ และดับทุกข์ได้จริง ส่วนไสยศาสตร์นั้นจะไม่มีเหตุผล พิสูจน์ไม่ได้ และดับทุกข์ไม่ได้จริง

เรื่องราวต่างๆของไสยศาสตร์นั้นมีมาก จะขอยกตัวอย่างที่อาจจะเคยได้ยินกันมาบ่อยๆก็คือเรื่องการทำเสน่ห์ และเรื่องสิ่งศักดิ์สิทธิ์ รวมทั้งเรื่องผู้วิเศษ โดยเรื่องการทำเสน่ห์นั้นมักจะมาจากผู้หญิงที่ต้องการให้ผู้ชายรักและหลงตัวเอง แต่ตัวเองไม่สวยไม่งามหรือไม่มีรูปร่างหรืออะไรๆที่ผู้ชายชอบ ซึ่งนี่เป็นเรื่องธรรมดาของผู้ชายที่จะพึงพอใจหญิงสาวที่สวยงาม ถ้าหญิงสาวคนไหนมีรูปร่างหน้าตาสวยงามก็จะมีผู้ชายมารุมชอบ แม้จะเคยผ่านการมีสามีมามากแล้วก็ตาม ส่วนผู้หญิงคนไหนที่แม้จะยังเป็นโสด แต่ถ้ารูปร่างหน้าตาไม่สวยงามก็จะไม่มีผู้ชายมาชอบ ยกเว้นบางคนที่ร่ำรวยที่อาจจะมีผู้ชายมาชอบ แต่ว่าเขาไม่ได้ชอบที่ตัวผู้หญิง เขาชอบที่ทรัพย์สมบัติของหญิงนั้น

จุดที่ทำให้เกิดการทำเสน่ห์ก็คือจุดนี้ คือภรรยาที่สามีที่เห็นแก่ตัวนั้นเบื่อหน่าย ไม่รักไม่เอาใจเหมือนเมื่อใหม่ๆที่ยังสาวยังสวยอยู่ แล้วก็ไปมีหญิงอื่นที่สวยสดกว่า ก็อยากจะให้สามีกลับมารัก มาเอาใจเหมือนเก่า ถึงแม้ตนเองจะพยายามเอาอกเอาใจสามีอย่างมากด้วยการแต่งตัวสวยงาม และตามอกตามใจไม่ขัดใจ เป็นต้นแล้วก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถทำให้สามีกลับมาเหมือนเดิมได้ เพราะของเก่ายังไงก็สู้ของใหม่ไม่ได้ ยิ่งถ้าภรรยาแก่ หรือมีรูปร่างอ้วน หรือขี้เหร่ สามีที่เห็นแก่ตัวก็จะยิ่งเบื่อมากขึ้น ดังนั้นบรรดาภรรยาที่ทำใจไม่ได้และบวกกับมีความไม่รอบรู้นี้จึงได้มองหาวิธีการอื่นที่จะทำให้สามีกลับมารักมาหลงตนเหมือนเก่าให้ได้ และเมื่อมีคนมาพูดเรื่องว่ามีอาจารย์คนไหนสามารถทำเสน่ห์ให้สามีรักและหลงได้ ถึงแม้จะยังไม่เชื่อเต็มที่แต่ก็อยากจะทดลอง เผื่อว่าถ้าได้ผลก็นับว่าเป็นโชคดี แต่ถึงแม้จะไม่ได้ผลก็คิดว่าไม่เป็นไร คงไม่เสียหายอะไรมากมายนัก จึงทำให้เกิดการทำเสน่ห์ขึ้นมา

เรื่องนี้เป็นเรื่องของการไม่ใช้สติปัญญา ถ้าเราจะมาใช้สติปัญญากันบ้างเพียงเล็กน้อย เราก็จะไม่ตกเป็นเหยื่อของพวกทำเสน่ห์พวกนี้ คือให้เราคิดง่ายๆว่าถ้าพวกนี้ทำได้จริง ทำไมเขาไม่ไปทำกับคนอื่นที่รวยๆ เอามาเป็นทาส หรือทำให้ตนเองร่ำรวย แต่นี่ตัวเองก็ยังต้องมารับจ้างทำเสน่ห์อยู่อีก ลองคิดดูทำไมพวกดารา นักร้องที่โด่งดังเขาจึงโด่งดังได้ ก็เพราะเขา หล่อ เขาสวย เขาเสียงดี และเขามีการโฆษณากรอกหูเด็กวัยรุ่นทางวิทยุและโทรทัศน์อยู่ทุกวัน ทุกเวลา จนสติปัญญาของเด็กวัยรุ่นหดหายไป เหลือไว้แต่ความโง่เขลา มืดมนและครั่งไคล้ไหลหลงกันทั่วบ้านทั่วเมือง เขาจึงโด่งดังขึ้นมาได้ แต่ทำไมดารา หรือนักร้องที่ไม่หล่อ ไม่สวย เสียงไม่ดีและไม่มีการโฆษณากรอหูผู้คนจึงไม่ใช้เสน่ห์มาทำให้คนครั่งไคล้บ้างถ้ามันมีจริง

อีกอย่างบรรดาอาจารย์ที่ทำเสน่ห์นี้เขาจะมีจิตวิทยาที่จะทำให้เราหลงเชื่อมาก เช่นใช้หน้าม้าหลอก ใช้พิธีกรรมหลอก หรือปล่อยข่าวว่าเขาเก่งอย่างนั้น อย่างนี้ เป็นต้น ซึ่งคนที่โง่ไม่มีวิจารณญาณก็มักจะเชื่อเอาง่ายๆ โดยเฉพาะคนไทยเราที่มีพื้นฐานความเชื่อเรื่องนี้อยู่อย่างหนาแน่นมาก่อน จึงหลงเชื่อกันอย่างง่ายดาย แต่ทำไมพวกฝรั่งเขาถึงไม่เชื่อ ก็เพราะเขาฉลาด มีเหตุผล และไม่มีพื้นฐานความเชื่อเช่นนี้เหมือนเรา บางทีคนที่ถูกหลอกมานั่นเองที่ไปหลอกคนอื่นต่อ เพราะกลัวเสียหน้าจึงจำใจต้องพูดว่าได้ผล จึงทำให้คนอื่นโง่กันต่อไปเป็นลูกโซ่

ส่วนเรื่องเครื่องรางของขลังหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ หรือแม้คนที่อวดว่าตนเองเป็นผู้วิเศษก็ตาม ถ้าเราจะใช้เหตุผลกันสักนิด เราก็จะไม่ตกเป็นเหยื่อของเขา หรือไปหลงเชื่อถือเขา บางทีเขาก็เล่นกลหลอกเรา เมื่อเราไม่รู้ทันเราก็เชื่อว่าเขาเป็นผู้วิเศษ แต่เวลาเราไปดูมายากลของฝรั่งที่เล่นได้น่าอัศจรรย์กว่า เรากลับไม่นับถือ เพราะรู้ว่าเขาเล่นกล ไม่สามารถทำได้จริง ซึ่งถ้าพวกนักมายากลเขาบอกว่าเขาทำได้เพราะไสยศาสตร์เราก็อาจจะเชื่อเขาอย่างหัวปักหัวปำก็ได้

เรื่องไสยศาสตร์ดั้งเดิมนั้นเป็นจิตวิทยาที่ดี คือเป็นการหลอกให้คนทำดี หรือทำให้คนชั่วกลับมาเป็นคนดี ซึ่งก็ได้ผลในระดับหนึ่ง แต่มาเดี๋ยวนี้กลับนำมาใช้หลอกลวงเพื่อหวังผลประโยชน์แก่คนทำเสียเอง ซึ่งคนไทยนั้นพื้นฐานก็ตกเป็นทาสของไสยศาสตร์กันมานมนานแล้ว และก็สืบทอดมาจนเดี๋ยวนี้ ซึ่งแม้ผู้คนจะเริ่มมีความรู้กันมากขึ้นแล้วก็ตาม แต่ก็เป็นความรู้ที่ไม่ได้ทำให้หายโง่จากความเชื่อทางไสยศาสตร์ได้เลย พุทธศาสตร์เป็นเรื่องของการใช้เหตุผล ใช้ความคิด ส่วนไสยศาสตร์จะไม่ใช้เหตุผล ไม่ใช้ความคิด จึงห้ามถามเรื่องเหตุผล แต่บอกให้เชื่ออย่างเดียว ซึ่งคนโง่และคนขี้เกียจก็ชอบ เพราะไม่ต้องใช้ความคิดและไม่ต้องทำอะไรให้เหนื่อย ก็ได้ผล อย่างเช่นนักศึกษาที่ขี้เกียจบางคนไปบนบานสารกล่าวให้สิ่งที่เชื่อว่าศักดิ์สิทธิ์ช่วยให้สอบได้ โดยตัวเองไม่ขยันเรียน เป็นต้น

สรุปได้ว่าไสยศาสตร์เป็นเรื่องที่ไม่สามารถจะช่วยเหลืออะไรใครได้อย่างแท้จริง แต่ทำอย่างไรก็ยากที่จะทำให้คนโง่หลุดพ้นจากความเชื่อเรื่องไสยศาสตร์ได้ ก็คงต้องปล่อยให้คนโง่ได้รับผลของเขาไป ซึ่งความโง่นี้มีโทษมาก อย่างเช่นการที่ประเทศชาติของเราไม่พัฒนาก็เพราะเรายังมีความเชื่อเรื่องไสยศาสตร์กันอยู่เต็มบ้านเต็มเมือง โดยเฉพาะนักปกครองและผู้มีอำนาจก็ยังมีความเชื่อพวกนี้อยู่ ส่วนการแก้ไขก็ต้องมาเริ่มกันที่การใช้เหตุผล กับขยันคิดกันให้มากกว่านี้ และมีการสอนพุทธศาสตร์ที่ถูกต้องในระบบการศึกษาทุกระดับ จึงจะแก้ไขความเชื่อในไสยศาสตร์และทำให้ประเทศชาติพัฒนาขึ้นมาได้อย่างแท้จริง.

เตชปญฺโญ ภิกขุ
อาศรมพุทธบุตร เกาะสีชัง ชลบุรี
(ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้จาก www.whatami.net)