ทำอย่างไรจึงจะทำให้คน "เลิกทำความชั่วแล้วทำแต่ความดี"?

เราก็รู้อยู่แล้วว่า การทำความชั่ว ก็คือ การเบียดเบียนผู้อื่น (ไม่ว่าจะด้วยร่างกายหรือวาจาก็ตาม) แล้วทำให้คนอื่นมีความทุกข์กาย (คือเดือดร้อนกาย) รวมทั้งยังทำให้มีความทุกข์ใจ (คือเศร้าโศกฯ) อีกด้วย

ส่วนการทำความดี ก็คือ การช่วยเหลือผู้อื่น (ไม่ว่าจะด้วยร่างกายหรือวาจาก็ตาม) แล้วทำให้คนอื่นมีความสุขกาย (คือสบายกายหรือไม่มีความทุกข์กาย) รวมทั้งยังทำให้มีความสุขใจ (คือดีใจ) อีกด้วย

"คนที่มีความรู้" ต่างก็พยายาม "คิดหาวิธีการ" ที่จะทำให้คนไม่ทำความชั่ว แล้วทำแต่ความดี เพื่อให้สังคมมนุษย์มีแต่ความสงบสุข โดยไม่มีความเดือดร้อน

โดยวิธีการที่จะทำให้คนไม่ทำความชั่วแล้วทำแต่ความดีนั้น ก็พอสรุปได้ ๔ วิธี คือ

๑. ใช้กฎหมายบังคับอย่างเข้มงวด คือ ใช้การลงโทษคนที่ทำความชั่วด้วยวิธีการต่างๆ เช่น ฆ่า ทำร้ายร่างกาย กักขัง ประจานคนทำความชั่ว ปล่อยให้โดดเดี่ยว เป็นต้น แล้วให้รางวัลแก่คนที่ทำความดี เช่น ให้ทรัพย์ ให้โอกาสที่ดี ยกย่องคนทำความดี เป็นต้น ซึ่งวิธีนี้ก็ได้ผลอย่างมาก "ถ้าผู้บังคับใช้กฎหมายเป็นคนดี" แต่ถ้า "ผู้บังคับใช้กฎหมายเป็นคนชั่ว" เสียเองจะไม่ได้ผล อีกอย่างคนชั่วที่มีความเฉลียวฉลาดแกมโกง ก็จะหาวิธีการหลีกเลี่ยงเพื่อไม่ให้ตนเองได้รับโทษตามกฎหมายได้

๒. สอนให้เชื่อเรื่อง "นรกใต้ดิน สวรรค์บนฟ้า" คือ การสอนให้คนมีความเชื่ออย่างฝังหัวว่า ถ้าใครทำความชั่ว (คือเบียดเบียนคนอื่น) เมื่อตายไปจะต้องได้รับโทษอย่างแสนสาหัส อย่างเช่น ถูกทรมานให้ได้รับความเจ็บปวดหรือมีความทุกข์กายและทุกข์ใจอย่างมากและยาวนาน (ที่เรียกว่านรก) หรือถ้าเกิดมาใหม่ก็จะยากจนเดือดร้อน ต่ำต้อย รูปไม่งาม พิการ เป็นต้น แต่ถ้าใครทำความดี (คือช่วยเหลือผู้อื่น) เมื่อตายไปจะได้รับรางวัลอย่างเพรียบพร้อม อย่างเช่น การได้รับความสุขอย่างเต็มเปี่ยมจากเพศตรงข้าม หรือจากการมีวัตถุสิ่งของหรือสถานที่ที่น่าพึงพอใจอย่างยิ่ง หรือจากการมีเกียรติยศ ชื่อเสียง อำนาจ (ที่เรียกว่าสวรรค์) หรือถ้าเกิดมาใหม่ก็จะร่ำรวย สุขสบาย รูปงาม มีเกียรติ มีอำนาจ เป็นต้น ซึ่งวิธีนี้จะได้ผลก็ต่อเมื่อมีการปลูกฝังให้ "คนที่มีความรู้พื้นฐานด้านวิทยาศาสตร์ไม่ถูกต้อง" ให้มีความเชื่ออย่างฝังหัวมาตั้งแต่เด็กว่า "มีโลกหน้า" และมี "สิ่งที่มีอำนาจสูงสุด" (คือ พระเจ้า หรือเทพเจ้า หรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ฯ) ที่สร้างทุกสิ่งทุกอย่างขึ้นมา รักษาทุกสิ่งทุกอย่างเอาไว้ และทำลายสิ่งต่างๆไปเมื่อถึงเวลา ซึ่งสิ่งที่มีอำนาจสูงสุดนี้จะคอยดูอยู่ตลอดเวลาว่าใครทำความชั่ว เมื่อเขาตายไปก็จะถูกลงโทษ แต่ถ้าใครทำความดี เมื่อเขาตายไปก็จะได้รับรางวัล แต่วิธีนี้จะไม่ได้ผลถ้าเอาไปใช้กับ "คนที่มีความรู้พื้นฐานด้านวิทยาศาสตร์อย่างถูกต้อง" เช่น นักวิทยาศาสตร์ หรือนักคิดนักเขียน หรือครูอาจารย์ หรือนักศึกษาฯ เป็นต้น ที่เป็นคนที่รู้จักคิดด้วยเหตุด้วยผล หรือเป็นคนที่ไม่มีความเชื่อที่งมงายฝังหัวมาก่อน

๓. สอนให้คนรู้จักความจริงว่า "สวรรค์อยู่ในอก นรกอยู่ในใจ" คือ การสอนให้คนเข้าใจเรื่องของจิตใต้สำนึกของเราทุกคนว่า เมื่อเรามีเจตนา (คือความจงใจ) ในการทำความชั่วเมื่อใด จิตใจของเราก็จะเกิดความเศร้า (หรือเสียใจ) หรือร้อนใจ ไม่สบายใจ หรือเครียด วิตกกังวล รำคาญใจฯ (ที่เรียกอย่างสมมติว่านรก) ขึ้นมาทันที (ซึ่งผลร้ายนี้อาจเกิดขึ้นมาเมื่อเราได้ทำความชั่วเสร็จแล้วก็ได้ หรืออาจเกิดขึ้นเมื่อเราได้ระลึกถึงการทำความชั่วของเราในอดีตก็ได้) แต่เมื่อเรามีเจตนาในการทำความดีเมื่อใด จิตใจของเราก็จะเกิดความสุขใจ อิ่มใจ สบายใจฯ ขึ้นมาทันที (ซึ่งผลดีนี้อาจเกิดขึ้นมาเมื่อเราได้ทำความดีเสร็จแล้วก็ได้ หรืออาจเกิดขึ้นเมื่อเราได้ระลึกถึงการทำความดีของเราในอดีตก็ได้) ซึ่งวิธีการนี้จะได้ผลก็ต่อเมื่อเอาไปสอนคนที่คิดเป็น หรือคนที่ไม่มีความงมงายมาก่อน แต่จะไม่ได้ผลสำหรับคนที่คิดไม่เป็น หรือคนที่มีความงมงายฝังหัวมาก่อน

๔. สอนให้คนมีดวงตา (หรือมีปัญญา) คือ การสอนให้คนเข้าใจและเห็นแจ้งชีวิตว่า สิ่งทั้งหลาย (คือทั้งร่างกายและจิตใจของเราทุกคน) ล้วนเป็น "อนัตตา" คือ ไม่ใช่อัตตาหรือตัวตนที่แท้จริง และเป็น "อนิจจัง" คือ คือเมื่อเกิดขึ้นมาแล้วก็ต้องดับหายไปอย่างแน่นอน (คือไม่สามารถตั้งอยู่ไปชั่วนิรันดรได้) รวมทั้งยังมีความเป็น "ทุกขัง" คือต้องทนอยู่อย่างยากลำบาก (ไม่มากก็น้อย) เสมอ ซึ่งผู้ที่เข้าใจและเห็นจริงถึงความจริงทั้ง ๓ ประการนี้แล้ว จิตใจของเขาจะเลื่อนระดับไปเป็น "อริยะ" คือ ประเสริฐ (คือมีจิตที่บริสุทธิ์ มีปัญญา มีเมตตา) ซึ่งผู้ที่มีจิตเป็นอริยะนี้จะเป็นคนที่ทำแต่ความดีและไม่ทำความชั่วอย่างมั่นคง ซึ่งวิธีการนี้จะใช้ได้ผลก็สำหรับ "คนที่มีความรู้พื้นฐานด้านวิทยาศาสตร์อย่างถูกต้อง" และเป็นคนดีมีศีลธรรมอยู่ก่อนแล้วเท่านั้น แต่จะใช้ไม่ได้ผลสำหรับ "คนที่ไม่มีความรู้พื้นฐานด้านวิทยาศาสตร์อย่างถูกต้อง" และเป็นคนชั่วอยู่แล้วเป็นนิสัย

สรุปได้ว่า การสอนให้คนทำความดีและไม่ทำความชั่วนั้น มีอยู่หลายวิธี ซึ่งแต่ละวิธีก็เหมาะสมสำหรับคนที่มีอุปนิสัยหรือระดับความรู้ที่แตกต่างกัน ดังนั้นเราจึงต้องรู้จักว่าเราจะสอนใคร และใช้วิธีการสอนอย่างไร จึงจะทำให้การสอนได้ผล แต่ถ้าเราใช้วิธีการสอนที่ไม่เหมาะสมกับคนที่เราจะสอนเขา การสอนก็จะไม่ได้ผล

เตชปัญโญ ภิกขุ

อาศรมพุทธบุตร เกาะสีชัง ชลบุรี

๑๓ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๖๐

ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.whatami.net

*********************
หน้ารวมบทความ
*********************