วิธีเสพปัจจัย ๔ อย่างถูกต้อง

ถ้ามีคนมาถามเราว่า “เราโง่หรือฉลาด?” เราก็คงจะลังเลใจที่จะตอบเพราะบางทีเราก็คิดว่าเราโง่ แต่บางทีเราก็คิดว่าเราฉลาด ซึ่งในบางเรื่องเราก็โง่ แต่ในบางเรื่องเราก็ฉลาด คือสังคมเรามักคิดว่าเรื่องอะไรที่ไม่รู้ก็คิดว่าโง่ แต่ถ้ารู้ก็คิดว่าฉลาด ซึ่งที่จริงมันก็แค่ “รู้” หรือ “ไม่รู้”เท่านั้น

ความโง่หรือฉลาดนี้ในระดับลึกๆแล้วไม่ได้วัดกันที่ว่ารู้หรือไม่รู้ แต่วัดกันที่ว่า “ทุกข์” หรือ “ไม่ทุกข์” คือสิ่งใดที่เราไม่รู้แล้วทำให้เกิดความทุกข์ ก็เรียกว่าเราโง่ แต่ถ้ารู้แล้วทำให้ไม่เป็นทุกข์ก็เรียกว่าฉลาด แต่บางสิ่งถึงรู้ไปก็ไม่ทำให้ไม่มีทุกข์ได้ แต่กลับทำให้มีทุกข์ การรู้นั้นก็เรียกว่าทำให้โง่ได้เหมือนกัน ซึ่งการใช้กฎเกณฑ์นี้เป็นเครื่องวัดก็อาจจะไม่เป็นที่ยอมรับของคนโง่ก็ได้

 การมองโลกของเรานี้ เราสามารถมองได้ทั้งอย่างตื้นๆหรือผิวเผินก็ได้ หรือมองอย่างลึกๆหรือลึกซึ้งก็ได้  คือการมองอย่างผิวเผินก็คือการมองเฉพาะสิ่งที่เกิดอยู่เฉพาะหน้า หรือเอาแค่ตาเห็น หรือเฉพาะที่เรากำลังรู้สึกอยู่เท่านั้น ไม่มองหรือพิจารณาอะไรไปมากกว่านี้ ส่วนการมองอย่างลึกซึ้งก็คือการมองให้ละเอียดทุกแง่มุมเท่าที่ควรจะรู้ เปรียบเหมือนกับการมองดูสระน้ำ ถ้าเรามองอย่างผิวเผินเราก็จะเห็นแค่ความกว้างและยาวของสระน้ำเท่านั้น แต่ถ้ามองอย่างลึกซึ้งก็จะมองเห็นทั้งความกว้าง ความยาว และความลึกของสระน้ำนั้นด้วย เป็นต้น     

เมื่อเรามาพิจารณาดูชีวิตของเราและของมนุษย์ร่วมโลก เราก็จะเห็นถึงความทุกข์ของแต่ละคนว่ามีแตกต่างกันไป แต่ก็สรุปว่าคนที่เป็นทุกข์ก็เพราะความโง่ของเขาเอง ถ้าเขาฉลาดเขาก็คงไม่เป็นทุกข์ ซึ่งการที่คนเราโง่นั้นก็เป็นเพราะการมองโลกอย่างตื้นๆหรือเพียงผิวเผิน ไม่มองอะไรให้ลึกซึ้งจนติดเป็นนิสัย แม้จะทำอะไรที่มีคนชมว่าฉลาด ก็ยังเป็นแค่เพียงความเก่งในทางโง่ขึ้นเท่านั้นเอง

ในที่นี้เราจะมาพิจารณาสิ่งต่างๆที่เกี่ยวข้องอยู่กับชีวิตของเราทั้งอย่างผิวเผินและอย่างลึกซึ้ง เพื่อเปรียบเทียบให้เห็นถึงความแตกต่างระหว่างความโง่และความฉลาด หรือระหว่างความไร้ปัญญากับความมีปัญญา เพื่อนำมาเป็นแนวทางในการมองโลกให้ดีขึ้นและมีทุกข์น้อยลงต่อไป

อันดับแรกก็คือเรื่องอาหาร  ซึ่งอาหารที่เอร็ดอร่อยและราคาแพงนั้น ถ้ามองอย่างผิวเผินก็จะเห็นว่าเอร็ดอร่อยและคนกินก็ดูภูมิฐาน คือดูมีฐานะและมีเกียรติ แต่ถ้ามองให้ลึกซึ้งแล้วจะพบว่าร่างกายต้องการเพียงอาหารที่มีคุณค่าเพียงเล็กน้อยเท่านั้น  ซึ่งอาหารราคาแพงนั้นย่อมจะทำให้สิ้นเปลืองเงินของคนที่กิน และถ้ามีคนนิยมกินอาหารนี้กันมากๆ ก็จะทำให้ต้องเบียดเบียนสัตว์และป่าไม้โดยทางอ้อมมากขึ้น รวมทั้งก็ต้องใช้ทรัพยากรและน้ำมันมาเป็นพลังงานในการแสวงหาอาหารนี้มาอย่างมากมาย ซึ่งนี่คือสาเหตุโดยอ้อมประการหนึ่งที่ทำให้ประเทศชาติขาดดุลการค้ากับต่างประเทศอย่างมากมาย และยังทำให้ป่าไม้และสัตว์ป่าสัตว์ทะเลจำนวนมากต้องถูกทำลายลงเพียงเพื่อสนองความเอร็ดอร่อยทางปากที่ไร้คุณค่านี้เท่านั้น อีกทั้งถ้าอาหารยิ่งอร่อยคนก็ยิ่งกินมาก ก็จะยิ่งทำให้เป็นโรคอ้วนที่สร้างความทุกข์โดยตรงให้แก่คนกินอีก

ต่อไปก็คือเรื่องเสื้อผ้าที่เรานุ่งห่มกันอยู่นี้ ซึ่งเสื้อผ้าเราก็นิยมว่าต้องสวย ต้องมีแฟชั่น ต้องทันสมัย ผู้หญิงก็ต้องในเสื้อผ้าโชว์สัดส่วนให้มากที่สุด เพื่อดึงดูดให้ผู้ชายสนใจมอง ซึ่งถ้ามองอย่างผิวเผินคนสวมใส่ก็สุขใจที่มีคนชมหรือเมื่อมีคนมอง ส่วนคนมองก็ชื่นชอบว่าสวยงามทันสมัย ส่วนผู้ชายก็ชอบมองอวัยวะของสงวนของสตรีที่เขามีเจตนาสวมใส่เสื้อผ้าที่ไม่มิดชิดเพื่อดึงดูดเพศตรงข้ามตามสัญชาติญาณของการสืบพันธ์ของสัตว์ทั่วๆไป  แต่ถ้ามองให้ลึกซึ้งแล้วก็จะพบว่าเสื้อผ้าที่สวยงามและทันสมัยนั้นจะมีราคาแพงมาก และต้องเปลี่ยนบ่อยๆให้ทันสมัย ซึ่งก็ทำให้คนสวมใส่ต้องสิ้นเปลืองเงินซื้อมากขึ้น ถ้าคนสวมใส่ไม่ค่อยมีทรัพย์แต่บ้าแฟชั่นก็ย่อมจะเดือดร้อน อีกทั้งยังจะส่งผลให้ประเทศชาติของเรายิ่งขาดดุลการค้ามากยิ่งขึ้น และถ้ามีคนนิยมสวมใส่เสื้อผ้านี้กันมากๆก็จะทำให้ทรัพยากรกับพลังงานของโลกก็จะยิ่งสูญสิ้นไปโดยเปล่าประโยชน์มากยิ่งขึ้น รวมทั้งยังจะสร้างมลพิษให้แก่โลกอีก  

 อีกทั้งสตรีที่สวมใส่เสื้อผ้าที่ไม่มิดชิดนี้เขาจะรู้หรือไม่ว่าเขามีส่วนกระตุ้นให้เกิดการทำร้ายเด็กหญิงและหญิงสาวอื่นๆโดยไม่รู้ตัว  เพราะเมื่อผู้ชายมองเห็นอวัยวะของสงวนของสตรีแล้ว เมื่อไม่รู้จักระวังจิตก็ย่อมที่จะเกิดความต้องการทางเพศขึ้นมาด้วยเสมอ เมื่อเห็นบ่อยๆก็จะสั่งสมเป็นคนนิสัยมีความต้องการทางเพศอยู่เสมอ และก็อาจจะทำให้เกิดการล่วงละเมิดทางเพศแก่สตรีนั้นเองหรือแก่เด็กหญิงและสตรีอื่นได้ง่ายเมื่อมีโอกาส อย่างที่เป็นข่าวอยู่บ่อยๆ  หรือบางคนก็อาจจะไปลักขโมยหรือจี้ปล้น คดโกง หรือเบียดเบียนคนอื่นเพื่อให้ได้ทรัพย์มาซื้อหากามารมณ์เพื่อสนองความต้องการทางเพศของเขาก็ได้  อีกทั้งการยั่วยวนทางเพศนี้ก็ยังส่งผลทำให้เด็กวัยรุ่นนิยมมีคนรัก มีกิ๊ก และมีเพศสัมพันธ์กันก่อนวัยอันควรมากขึ้นอีกด้วย ซึ่งก็นำมาซึ่งปัญหาอื่นๆอีกมากมายทั้งปัญหาโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ต่างๆ ปัญหาเรื่องการตั้งครรภ์ การทำแท้ง และปัญหาชีวิตอื่นๆมากมาย เป็นต้น

ต่อไปก็คือเรื่องที่อยู่อาศัยซึ่งคนทั่วไปก็จะนิยมว่าต้องใหญ่โตสวยหรูมีเครื่องประดับตกแต่งมากมาย อันจะทำให้มีความสะดวกสบายและมีเกียรติ  ซึ่งเมื่อมองอย่างลึกซึ้งแล้วจะพบว่าชีวิตเราต้องการเพียงแค่บ้านที่กันแดด กันฝน และกันภัยได้เท่านั้น ความใหญ่โตหรูหรานั้นไม่จำเป็นเลย เพราะจะทำให้ต้องสิ้นเปลืองเงินในการก่อสร้างอย่างมากมาย  อันจะทำให้ทรัพยากรและพลังงานของโลกต้องสูญสิ้นไปอย่างมากมาย และสร้างมลพิษให้แก่โลก อีกทั้งประเทศชาติก็ยังต้องขาดดุลการค้ากับต่างชาติอีก ซึ่งจะส่งผลกระทบกับการพัฒนาประเทศชาติอย่างมาก  และเมื่อมีผู้คนก็นิยมสร้างบ้านใหญ่โตมากขึ้น ก็จะทำให้ต้องทำลายป่าเพื่อเอาไม้และเอาพื้นที่มาสร้างบ้านมากขึ้น ก็จะส่งผลทำให้ป่าไม้ต้องถูกทำลายลงมากขึ้นอีก อันจะส่งผลกระทบกับระบบนิเวศน์ทำให้สภาพแวดล้อมเสียหาย และสภาพดินฟ้าอากาศแปรปรวน  จนเกิดภาวะแห้งแล้งยาวนาน และอุทกภัยขึ้นมาอีก แล้วผลเลวร้ายก็เกิดจะกลับมาเกิดแก่ทุกคนโดยรวมอย่างไม่มีทางหลีกเลี่ยง

ต่อไปก็เรื่องยารักษาโรค ซึ่งเอาไว้ใช้รักษาโรคที่เกิดขึ้น แต่เรามักใช้ยาเพื่อบำรุงบำเรอร่างกายให้แข็งแรง หรือเพื่อความเปล่งปลั่ง สวยงาม หรือเพื่อเพิ่มความกำหนัดทางเพศ  ซึ่งถ้ามองให้ลึกซึ้งแล้วมันก็มีแต่ความสิ้นเปลืองและทำลายทรัพยากรและพลังงาน รวมทั้งสร้างมลพิษให้แก่โลกมากขึ้น

สรุปว่า นี่ยังเป็นแค่เพียงปัจจัย ๔ ที่เราเสพกันอยู่ทุกวัน เราก็ยังมองและเสพกันอย่างผิวเผิน จนทำให้เกิดปัญหาและความทุกข์ความเดือดร้อนตามมาอย่างมากมายโดยเราอาจจะไม่รู้ตัว และยิ่งสิ่งอื่นๆทั้งที่จำเป็นและไม่จำเป็นอีกมากมายที่เราเสพและใช้สอยกันอยู่อย่างผิวเผินด้วยความโง่เขลา ก็จะยิ่งสร้างปัญหาและความทุกข์ให้แก่เราและครอบครัว รวมทั้งประเทศชาติ และแม้แก่โลกมากยิ่งขึ้น จึงเป็นสิ่งที่เราควรหันมามองอะไรๆให้ลึกซึ้ง เพื่อตัวของเราเองและมนุษยชาติกันต่อไป.

เตชปญฺโญ ภิกขุ

อาศรมพุทธบุตร เกาะสีชัง ชลบุรี


(ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้จาก www.whatami.net)


*********************