อุปสรรคของการพัฒนาคืออบายมุข การพัฒนา คือ การทำให้ดีขึ้น เจริญขึ้น ถูกต้องขึ้น เป็นประโยชน์ขึ้น ซึ่งตรงข้ามกับการด้อยพัฒนา คือ ไม่ดีขึ้น ไม่เจริญขึ้น ไม่ถูกต้องขึ้น ไม่เป็นประโยชน์ขึ้น ซึ่งการด้อยพัฒนาก็อาจจะหมายถึงเลวลง เสื่อมลง ผิด และเป็นโทษก็ได้ โดยการพัฒนาที่ถูกต้องจะต้องทำให้หมดปัญหาที่ทำให้ไม่มีความเดือดร้อน ไม่มีความทุกข์ แต่ถ้าพัฒนาแล้วยังคงมีปัญหา มีความเดือดร้อน หรือเป็นทุกข์ ก็แสดงว่าเป็นการพัฒนาที่ผิดพลาด ที่นี้เราก็ต้องกลับมามองดูที่ตัวเราว่า เรามีการพัฒนาหรือเปล่า? ซึ่งก็ดูจากที่ว่า ชีวิตของเรายังคงจมอยู่กับที่หรือเปล่า? เรายังคงมีปัญหาอยู่หรือเปล่า? ซึ่งการไม่พัฒนานอกจากจะทำให้ปัจจุบันยังคงมีแต่ปัญหาแล้ว อนาคตก็เป็นที่แน่นอนว่าจะต้องมีปัญหาอีก อะไรคืออุปสรรคของการพัฒนา? อุปสรรคที่สำคัญของการพัฒนาคือ อบายมุข เพราะอบายมุข คือ สาเหตุของความเสื่อม คือถ้าเรายังจมหรือลุ่มหลงอยู่ในอบายมุข ชีวิตของเราก็จะมีแต่ความเสื่อมหรือไม่เจริญ ถ้าสังคมหรือประเทศชาติของเรามีผู้คนที่จมติดอยู่ในอบายมุขมาก สังคมหรือประเทศชาติของเราก็มีแต่ความเสื่อมหรือไม่เจริญ และแม้ภัยพิบัติ หรือความล่มสลายของครอบครัว-สังคม-ประเทศชาติ-สภาพแวดล้อม ก็มีสาเหตุมาจากอบายมุขนี่เอง อะไรคืออบายมุข? แทบไม่น่าเชื่อว่า ชีวิตของเรานั้นจมอยู่ในอบายมุขกันเสียมากต่อมากจนไม่รู้สึกตัวว่ามันเป็นอบายมุขหรือสิ่งที่ทำให้ชีวิตตกต่ำหรือไม่เจริญ อันได้แก่ เล่นการพนัน การเสพสิ่งเสพติด การเที่ยวกลางคืน การเที่ยวดูการละเล่น การเที่ยวโสเภณี ความเกียจคร้าน และการคบคนชั่วเป็นมิตร การพนันก็มีมากมาย เช่น ล็อตเตอร์รี่ หวยใต้ดิน ไพ่ ไฮโล กัดปลา ชนไก่ แม้แต่พนันบอล เป็นต้น ซึ่งการเสี่ยงโชคทุกชนิดที่มีได้มีเสีย ก็จัดเป็นการพนันทั้งสิ้น ไม่ว่าจะถูกกฎหมายหรือผิดกฎหมายก็ตาม สิ่งเสพติดก็มีตั้งแต่บุหรี่ เหล้า กัญชา เฮโลอีน ฝิ่น ยาบ้า ยาไอซ์ เป็นต้น แม้แต่น้ำชา กาแฟ หรือเครื่องดื่มชูกำลัง น้ำอัดลมผสมคาเฟอีน เป็นต้น ก็ยังจัดเป็นสิ่งเสพติดด้วยเหมือนกัน ยังไม่เท่านั้น แม้ขนมหวาน หรือของเล่นต่างๆ เช่น เกมส์คอมพิวเตอร์ เป็นต้น ที่ทำให้เราลุ่มหลงติดใจ ก็จัดเป็นอบายมุขด้วยเหมือนกันถ้าเสพมันมากเกินไป เพราะมันทำให้เกิดโทษแก่ชีวิตของเรา คือทั้งทำให้เสียทรัพย์ เสียสุขภาพ และเสียสติปัญญา การเที่ยวกลางคนก็คือการออกไปเที่ยวนอกบ้านในเวลากลางคืน ซึ่งก็อาจไปดื่มสุรา หรือเที่ยวโสเภณี หรือไปดูการแสดงต่างๆ หรือการไปดูภาพพยนต์ และแม้การไปขับรถหรือเดินเที่ยวเล่น หรือการไปช๊อปปิ้ง เป็นต้น ก็จัดเป็นอบายมุขเรื่องการเที่ยวกลางคืนด้วยเหมือนกัน การเที่ยวดูการละเล่นก็คือการออกไปเที่ยวนอกบ้านไม่ว่าจะเป็นเวลากลางวันหรือกลางคืนเพื่อดูการแสดงต่างๆ เช่น ดูคอนเสริด ดูละคร ดูการแข่งขันต่างๆ เช่น แข่งรถ แข่งเรือ แข่งกีฬา เป็นต้น และแม้การดูโทรทัศน์ หรือฟังเพลงภายในบ้าน หรือการท่องอินเตอร์เน็ต ถ้าเป็นการดูหรือฟังเพื่อความสนุกสนานเพลิดเพลินโดยไม่เกิดปัญญา ก็จัดว่าเป็นอบายมุขข้อดูการละเล่นนี้ด้วยเหมือนกัน เพราะไม่ทำให้เกิดปัญญา มีแต่การลุ่มหลงในความสุขที่ทำให้เกิดความเสียหายแก่ทั้งสุขภาพและทรัพย์ รวมทั้งยังทำให้โง่เขลามากยิ่งขึ้นด้วย อันเป็นอุปสรรคของการพัฒนาเพราะทำให้มีแต่ความเสื่อมเพียงอย่างเดียว การเที่ยวโสเภณีก็คือการไปแสวงหาความสุขจากเพศตรงข้ามอย่างผิดศีลธรรม เช่น โสเภณี ชู้ กิ๊ก เป็นต้น ความเกียจคร้าน ก็จัดเป็นหนทางสู่ความเสื่อม เพราะความเกียจคร้านก็คือการไม่อยากทำงาน แต่อยากได้เงิน อยากได้ความสุข โดยไม่ยอมสร้างเหตุด้วยความขยัน และอดทน จึงทำให้เกิดความยากจน และความเดือดร้อนทั้งแก่ชีวิตและสังคม-ประเทศชาติ อีกทั้งยังทำให้เกิดการลักขโมย จี้ ปล้น คดโกง และการทุจริตคอร์รัปชั่น เป็นต้นขึ้นมาด้วย การคบคนชั่วเป็นเพื่อน ก็จัดเป็นอบายมุขด้วยเหมือนกัน เพราะเพื่อนชั่วย่อมจะชักนำเราไปสู่ความชั่วเสมอ แล้วความชั่วก็ย่อมจะทำให้เราต้องประสบกับความเดือดร้อน เช่น ถ้าเพื่อนชอบเล่นการพนัน ก็จะทำให้เราชอบเล่นการพนันไปด้วย ถ้าเพื่อนชอบดื่มสุรา ก็จะทำให้เราชอบดื่มสุราไปด้วย ถ้าเพื่อนติดยาเสพติด ก็จะทำให้เราติดยาเสพติดไปด้วย ถ้าเพื่อนชอบลักขโมย ก็จะทำให้เราเป็นคนชอบลักขโมยไปด้วย ถ้าเพื่อนเป็นอันธพาล ก็จะทำให้เราเป็นอันธพาลไปด้วย ถ้าเพื่อนชอบเที่ยวกลางคน หรือชอบเที่ยวดูการละเล่น ชอบเที่ยวโสเภณี ก็จะทำให้เราเป็นคนชอบเที่ยวกลางคืน ชอบเที่ยวดูการละเล่น และชอบเที่ยวโสเภณีตามไปด้วย หรือถ้าเพื่อนเป็นคนเกียจคร้าน ก็จะทำให้เราเป็นคนเกียจคร้านตามไปด้วย เป็นต้น คือถ้าเพื่อนเป็นคนชั่วอย่างไร เราก็จะเป็นคนชั่วอย่างเพื่อนไปด้วย สรุปได้ว่า อบายมุคืออุปสรรคของการพัฒนา แต่ทว่าในปัจจุบันการพัฒนาส่วนใหญ่กลับกลายเป็นการพัฒนากันแต่ในเรื่องอบายมุขทั้งสิ้น เพราะอบายมุขก็คือการลุ่มหลงในความสุขจากสิ่งที่จะทำให้เกิดปัญหาแก่ชีวิตของเรา ซึ่งสิ่งที่ทำให้เกิดปัญหาแก่ชีวิตของเราและสังคมนี้ก็สรุปอยู่ที่ สิ่งฟุ่มเฟือย หรือ สิ่งที่เกินความจำเป็นสำหรับชีวิต โดยสิ่งฟุ่มเฟือยนี้ก็มีตั้งแต่การดู การฟัง การดม การกิน การดื่ม เป็นต้น ขึ้นไปเป็นการเสพทางกาย เช่น การเล่น การเสพกาม การไม่ทำการงาน และการคบเพื่อน เป็นต้น ที่ไม่จำเป็นแก่ชีวิตของเรา จึงเป็นสิ่งที่เราควรกลับมามองดูชีวิตของเราและสังคม ว่าเรากำลังจมติดอยู่ในอบายมุขกันหรือเปล่า? เพื่อที่จะได้พัฒนากันอย่างถูกต้องต่อไป เตชปญฺโญ
ภิกขุ. ๑๓ กันยายน ๒๕๕๗
|