พระพุทธเจ้าต่อต้านคำสอนเรื่องจิตเป็นอัตตาเวียนว่ายตายเกิด หลักคำสอนเรื่องจิตเป็นอัตตา (ตัวตนอมตะ ไม่มีวันดับสลาย) ที่ทำให้เกิดความเชื่อเรื่องการเวียนว่ายตายเกิดทางร่างกาย และเรื่องนรกใต้ดิน สวรรค์บนฟ้า รวมทั้งเรื่องเทวดา นางฟ้า และเรื่องกรรมชนิดข้ามภพข้ามชาติ เป็นต้น ซึ่งเป็นคำสอนของพราหมณ์นั้น เป็นคำสอนที่มีมาก่อนที่พระพุทธเจ้าจะตรัสรู้ เมื่อพระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ขึ้นมาก็ไม่ยอมรับเรื่องจิตเป็นอัตตา เพราะทรงค้นพบว่าจิตนี้แท้จริงเป็นอนัตตา (คือไม่ใช่อัตตาอย่างของพราหมณ์) และทรงต่อต้านเรื่องจิตเป็นอัตตาของพราหมณ์มาตลอดทั้งชีวิต แต่เมื่อพระพุทธองค์ทรงปรินิพพานไปแล้วประมาณ ๘๐๐ ปี คำสอนเรื่องจิตเป็นอัตตาเวียนว่ายตายเกิดของพราหมณ์ ก็ได้เข้ามาครอบงำคำสอนของเรื่องจิตเป็นอนัตตาของพระองค์เอาไว้อย่างมิดชิดและสืบต่อมาจนถึงเราในปัจจุบัน ซึ่งนี่คือเรื่องที่น่าเศร้าใจอย่างยิ่งที่ชาวพุทธไม่สามารถปกป้องคำสอนที่แท้จริงของพระพุทธเจ้าเอาไว้ได้ แต่กลับรับเอาคำสอนของพราหมณ์มาศึกษาและปฏิบัติกันอย่างจริงจัง รวมทั้งยังต่อต้านผู้ที่นำคำสอนที่แท้จริงเรื่องจิตเป็นอนัตตาของพระพุทธเจ้ามาเผยแพร่อีกด้วย นี่นับเป็นชัยชนะของพราหมณ์ที่ได้วางยาพิษเอาไว้ในพระไตรปิฎก สาเหตุที่พระพุทธเจ้าทรงต่อต้านเรื่องการสอนว่าจิตเป็นอัตตา (จิตเป็นอมตะที่เวียนว่ายตายเกิด) นั้นก็เพราะ การสอนว่าจิตเป็นอัตตานั้น เป็นแค่การสอนระดับศีลธรรม ที่มีผลเพียงทำให้ชีวิตมีความปกติสุขในระดับชาวบ้านเท่านั้น ไม่สามารถทำให้หลุดพ้นจากความทุกข์ไปได้อย่างแท้จริง เพราะแม้ใครจะมีความสุขสบายในทางโลกสักเท่าใดก็ตาม ก็ยังไม่หลุดพ้นจากความทุกข์ของจิตใจที่เกิดมาจากความยึดถือว่าตนเองแก่, ตนเองเจ็บ, ตนเองจะตาย, ตนเองเป็นผู้พลัดพรากจากสิ่งและคนที่รัก, ตนเองต้องประสบกับสิ่งและคนอันไม่เป็นที่รัก, และตนเองที่มีความผิดหวังอย่างแรง เหล่านี้ได้ ถ้าใครปรารถนาจะหลุดพ้นจากความทุกข์เหล่านี้ จะต้องทำลายความเห็น (ความเข้าใจ ความเชื่อ) ผิด เรื่องจิตเป็นอัตตาของชีวิตให้ได้ก่อน เพราะความเห็นว่าจิตเป็นอัตตาหรือเป็นตัวตนของเราและของทุกชีวิตนี้เอง ที่เป็นต้นเหตุทำให้จิตเกิดความโง่อย่างสูงสุด (เรียกว่าอวิชชา) แล้วจิตโง่นี้ก็จะปรุงแต่งความรู้สึกว่ามีตัวเราและความยึดถือว่ามีตัวเราขึ้นมา เมื่อมีความยึดถือว่ามีตัวเรา-ของเรา และตัวตนของคนอื่นขึ้นมาแล้ว ความทุกข์ของจิตใจที่เกิดมาจากความยึดถือว่าตนเองแก่, ตนเองเจ็บ, ตนเองจะตาย, ตนเองเป็นผู้พลัดพรากจากสิ่งและคนที่รัก, ตนเองต้องประสบกับสิ่งและคนอันไม่เป็นที่รัก, และตนเองที่มีความผิดหวังอย่างแรง เหล่านี้ก็จะเกิดขึ้นมาทันที ตามหลักปฎิจจสมุปบาทหรืออริยสัจ ๔ ดังนั้นถ้าใครปรารถนาจะศึกษาเพื่อดับทุกข์ตามแนวทางของพระพุทธเจ้า ก็ต้องศึกษาเพื่อทำลายความเห็นผิดว่าจิตใจของคนเรานี้เป็นอัตตานี้ให้ได้ก่อนเป็นอันดับแรก ถ้าใครยังทำลายความเห็นผิดว่าจิตเป็นอัตตาเวียนว่ายตายเกิด (รวมทั้งความเชื่อเรื่องนรกใต้ดิน สวรรค์บนฟ้า เป็นต้น) ไม่ได้ ก็จะยังไม่สามารถศึกษาและปฏิบัติเพื่อความหลุดพ้นจากความทุกข์ของจิตใจในปัจจุบันไม่ได้ เพราะยังถูกความเชื่อของพราหมณ์ครอบงำสติปัญญาอยู่อย่างมิดชิด จะต้องทำลายความเห็นผิดว่าจิตเป็นอัตตาเวียนว่ายตายเกิดนี้ให้ได้ก่อน จึงจะศึกษาและปฏิบัติเพื่อความหลุดพ้นจากความทุกข์ของจิตใจในปัจจุบันตามหลักอริยสัจ ๔ ของพระพุทธเจ้าได้อย่างแท้จริง เตชปญฺโญ ภิกขุ. ๒๙ ธันวาคม ๒๕๕๖ ********************* |