ความรัก มนุษย์เมื่อเติบโตเป็นหนุ่มสาว จะเกิดมีความรู้สึกอย่างหนึ่งขึ้นมาในจิตใจ นั่นคือ ความรัก ซึ่งเป็นความรักในเพศตรงข้าม ความรักนี้ เราสามารถมองได้หลากหลายแง่มุม ตามแต่ว่าใครจะมีความรู้ในเรื่องใด ซึ่งในที่นี้ เราจะมามองในแง่มุมที่ลึกซึ้ง ตามแนวทางพุทธศาสนา อันเป็นวิทยาศาสตร์ที่มีเหตุผล และมองเห็นได้จริง ซึ่งอาจจะต่างกับการมองอย่างตื้นๆผิวเผินของชายหนุ่มหญิงสาวทั้งหลายก็ได้. ความรักของชายหนุ่มกับหญิงสาว ในแง่มุมของศาสนาจะมองว่านี่คือ ความเห็นแก่ตัว คือถึงจะรู้สึกว่ารักหรือพอใจเพศตรงข้าม และเอาอกเอาใจเพศตรงข้ามอย่างที่ไม่เคยทำกับคนอื่นมาก่อนก็ตาม แต่นั่นคือการทำ เพื่อตนเอง คือถึงชายหนุ่มจะบอกหญิงสาวว่า ผมรักคุณก็ตาม แต่ความหมายที่ซ่อนอยู่จะบอกหญิงสาวว่า ผมต้องการคุณมาเป็นของผมแต่ผู้เดียว ไม่อยากให้คุณไปเป็นของคนอื่น ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น ก็เพราะความเห็นแก่ตัวของชายหนุ่ม เห็นแก่ตัวอย่างไร? ก็เห็นแก่ตัวตรงที่เขารักหญิงสาว เพื่อให้ตนเองมีความสุข ส่วนการที่ชายหนุ่มเอาอกเอาใจหญิงสาวนั้น ก็ทำเพื่อให้หญิงสาวรักตนเอง มาตามใจตนเอง ทำให้ตนเองมีความสุขอีกนั่นเอง แต่ถ้าเขารักหญิงสาวแล้วหญิงสาวมีความสุข แต่ตนเองต้องทุกข์ตรม ชายหนุ่มจะจะยินดีมีรักอยู่อีกหรือ? คงหายาก หรือแทบหาไม่มีเลย จะมีก็แต่ในนิยายน้ำเน่า ที่เขาเขียนขึ้นมาหลอกหญิงสาวผู้อ่อนต่อโลกเท่านั้น เมื่อมีชายหนุ่มกล่าวกับหญิงสาวว่า ผมรักคุณ นั่นก็หมายถึงเขาบอกหญิงสาวว่า ผมอยากได้คุณมาเป็นของผมแต่ผู้เดียว ไม่ให้คุณไปเป็นของคนอื่น คุณจะยินดีหรือไม่? และถ้าหญิงสาวตอบว่ารักเขา เช่นกัน ก็เท่ากับว่าเธอยินดี และเธอก็อยากครอบครองเขาด้วยเหมือนกัน ความรักจึงเป็นการครอบครองด้วยความเห็นแก่ตัว . คนส่วนมากจะไม่สนใจว่าทำไมจึงมีความรัก รู้แต่ว่าเมื่อเริ่มเป็นหนุ่มสาว ก็จะเริ่มมีความรักนี้ขึ้น แล้วก็แทบจะไม่มีใครสนใจจะมาค้นหาความจริงว่าทำไมจึงมีความรักนี้ขึ้น ซึ่งแท้จริงแล้วคำตอบมันก็มีให้เห็นอยู่แจ่มแจ้งแล้ว เพราะทุกอย่างมันย่อมจะมีเหตุผลของมันอยู่แล้วในตัว เมื่อมีเหตุมันย่อมมีผล เมื่อมีผลมันก็ต้องมีเหตุ นี่คือหลักวิทยาศาสตร์ที่เป็นพื้นฐานสำคัญของพุทธศาสนา. ความรักนำมาซึ่งการสืบพันธุ์ เมื่อยังมีการสืบพันธุ์ ก็จะยังมีมนุษย์อยู่ต่อไป ธรรมชาตินั้นชาญฉลาดที่จะทำให้มนุษย์ยังคงมีอยู่ต่อไปด้วยการทำให้มนุษย์มีความรักและมีการสืบพันธุ์ เมื่อถึงวัยหนุ่มวัยสาว ก็จะเกิดความรู้สึกพึงพอใจในเพศตรงข้ามขึ้นมา พอใจในรูปร่างหน้าตา, พอใจในเสียง ,ในกลิ่น, และแม้ในการได้ถูกต้องสัมผัสทางเนื้อหนัง นี่คือเหยื่อของธรรมชาติ ที่ล่อลวงให้มนุษย์สืบพันธุ์ และส่วนมากจะไม่รู้จักว่านี่คือเหยื่อ และถึงบางคนจะรู้แต่ก็ยินดีที่จะกินเหยื่อ และติดกับที่ธรรมชาติวางไว้. เหยื่อของธรรมชาตินี้มีอำนาจมาก ยากนักที่จะมีใครหนีพ้น หนุ่มสาวจะรักกันก็จะมีเรื่องรูปร่างหน้าตามาก่อนอันดับแรก รองลงมาก็จะเป็นเรื่องความร่ำรวยและมีเกียรติ ส่วนเรื่องนิสัยใจคอว่าจะดีหรือไม่นั้นเป็นเรื่องทีหลัง . ความสุขคือสิ่งที่มนุษย์ต้องการ เมื่อมีความรัก ก็จะมีความสุขที่รุนแรงล้ำลึกที่น่าไหลหลงยิ่งนัก ถ้าความรักเกิดจากรูปร่างหน้าตาที่สะสวยงดงาม เมื่อรูปร่างหน้าตาไม่น่ารักน่าปรารถนาเหมือนเดิม ความรักก็ย่อมจืดจางลง แต่ถึงรูปร่างหน้าตาจะเหมือนเดิม ความรักก็จืดจางได้เพราะความรักไม่ใช่สิ่งที่จะเที่ยงแท้ถาวรได้ตลอดไป ใหม่ๆก็หอมหวาน พอเก่าหน่อยก็จืดชืด ยิ่งนานวันก็จะเหม็นเบื่อ.. ถ้าความรักเกิดจากทรัพย์ หรือเกียรติ เมื่อทรัพย์หรือเกียรติหมดสิ้นไป ความรักก็จะหมดสิ้นตามไปด้วย คนที่จะรักกันยั่งยืนยาวนาน จึงต้องเกิดจากความดีงามของจิตใจ เกิดจากความเสียสละ เกิดจากความเข้าใจชีวิต ซึ่งก็หายากเต็มที. เมื่อมีความรัก ความรักก็จะพัฒนาขึ้นไปเป็นความใคร่ในเรื่องเพศ และลงเอยที่การมีเพศสัมพันธ์ ซึ่งมีความเอร็ดอร่อยสูง ยากนักที่ใครๆจะเอาชนะมันได้ และนี่คือกับดักที่ดักให้มนุษย์ติดและรับผล ผลนั้นคืออะไร? ผลนั้นก็คือการให้กำเนิดมนุษย์ขึ้นมา ถ้าไม่มีความรัก ถ้าไม่มีเพศสัมพันธ์ มนุษย์ก็จะไม่เกิดขึ้น แล้วโลกคงไม่มีมนุษย์ ไม่มีสัตว์ และแม้พืชพันธุ์ต่างๆ. สิ่งที่ชายหนุ่มหญิงสาวควรจะรู้อย่างยิ่งก็คือเรื่องนี้ คือรู้จักกับดักของธรรมชาติ ว่าธรรมชาติมีความรักไว้เพื่อหลอกให้มนุษย์สืบพันธุ์ เพื่อให้มีมนุษย์อยู่ต่อไป เมื่อมีการสืบพันธุ์ ก็ย่อมมีลูก เมื่อมีลูกก็เริ่มต้นรับผลใหม่ขึ้นมาอีก ทั้งความเหนื่อยยาก ทั้งความเจ็บปวด ทั้งภาระ ทั้งความห่วงใย และความผิดหวังเศร้าเสียใจ ต่างๆนาๆที่พ่อแม่จะต้องมีในการมีลูก ยิ่งมีลูกมาก ก็ยิ่งเหยื่อยากมากขึ้น ถ้ายิ่งฐานะของพ่อแม่ไม่ดี ก็จะยิ่งเพิ่มความลำบากมากขึ้น นี่คือผลที่ต้องรู้ ถ้าใครรู้และยินดีรับผลนี้ ก็ไม่เพิ่มปัญหา แต่ถ้าไม่รู้ ก็จะยิ่งเพิ่มปัญหา เพราะไม่ได้เตรียมใจไว้สำหรับรับความทุกข์ยากในการมีความรักและมีลูก ทุกสิ่งของโลกเป็นของคู่เสมอ เมื่อมีสุขก็ย่อมมีทุกข์ตามมาเสมอ เราไม่อาจแยกเอาแต่เฉพาะความสุขได้ ยิ่งถ้าเรามีความสุขมากเท่าใด ความทุกข์ก็จะยิ่งมากขึ้นเท่านั้น ผู้ที่คิดแต่จะเสวยความสุขจากการมีความรัก หรือจากการมีเพศสัมพันธุ์โดยคิดว่าไม่มีความทุกข์ใดๆตามมาในภายหลังนั้นจัดว่ายังไม่รู้เท่าทันชีวิต เมื่อปัญหาและความทุกข์เกิดขึ้นจึงเกิดความเศร้าโศกเสียใจและทุกข์ตรมยิ่งขึ้นอีก. ถ้าเรารู้เท่าทันและใช้ชีวิตอย่างถูกต้อง เหมือนคนทำความผิดและยินดีรับผิดด้วยความเต็มใจ ความทุกข์ก็ย่อมที่จะน้อยลงเป็นธรรมดา อย่างเช่นคนดีมีศีลธรรมทั้งหลายที่มีปัญหาในชีวิตน้อย และมีความสุขตามอัตภาพของเขา. การเอาชนะความรัก หรือการพยายามที่จะไม่รักใครนั้นดูว่าจะทำได้ยากยิ่งสำหรับมนุษย์ปุถุชนทั้งหลาย แต่ก็พอมีวิธี ซึ่งก็ต้องมีทั้งการฝึกฝนจิตให้เข้มแข็ง และทั้งต้องมีปัญญารอบรู้เรื่องความทุกข์ยากจากการมีความรักนี้อย่างแจ่มแจ้งอีกด้วยด้วย แต่สำหรับปุถุชนทั้งหลายนั้น ทำได้อย่างดีก็เพียงรู้จักยับยั้งชั่งใจของตนเองเอาไว้บ้างก็นับว่าดียิ่งแล้ว คือมีรักที่บริสุทธิ์ ไม่มีความรักเพราะความเห็นแก่ตัว แต่รักเพราะเห็นแก่คนที่เรารัก ถ้าคนที่เรารักมีความสุข แม้เราจะต้องเป็นทุกข์ เราก็ต้องยอมรับ ไม่โกรธ ไม่เกลียด ไม่เสียใจ ทำได้หรือไม่? ก็คงยากอีก. ความรักแท้ หรือรักบริสุทธิ์นั้นหายากยิ่งกว่างมเข็มใจมหาสมุทรเสียอีก ความรักแท้ไม่เกี่ยวกับความหล่อความสวยงาม หรือเรื่องเซ็กส์ ไม่เกี่ยวกับความเด่นดังมีเกียรติ ไม่เกี่ยวกับความร่ำรวย อย่างในนิยายน้ำเน่า ความรักที่บริสุทธิ์จะเป็นการเสียสละเพื่อผู้อื่นโดยตนเองไม่ได้หวังผลตอบแทนใดๆ การเอาชนะกันด้วยการทำสงครามต่อสู้เข่นฆ่ากันนั้นยังง่ายกว่าสงครามเอาความรัก เพราะสงครามนี้ไม่มีใครอยากชนะ มีแต่คนอยากพ่ายแพ้ นี่เองที่ทำให้ผู้คนเกิดขึ้นมาล้นโลก และมีแต่ปัญหากันทั่วทุกมุมโลก สันติภาพก็หดหาย เพราะมีแต่คนพ่ายแพ้เต็มไปหมด . เตชปัญโญ ภิกขุ อาศรมพุทธบุตร เกาะสีชัง ชลบุรี ********************* |