ตายแล้วเป็นอย่างไร? เรามักจะคิดว่า การที่เราจะรู้ว่าตายแล้วเป็นอย่างไรนั้น เราจะต้องพิสูจน์ด้วยการฆ่าตัวตาย จึงจะรู้ว่าตายแล้วเป็นอย่างไร ซึ่งนี่เป็นความเข้าใจของคนที่ยังไม่รู้จักระบบของชีวิตอย่างถูกต้อง ถ้าเราจะรู้จักชีวิตอย่างถูกต้องแล้ว แม้เราไม่ต้องพิสูจน์ เราก็สามารถที่จะเข้าใจชีวิตหลังความตายได้อย่างแจ่มแจ้งด้วยสติปัญญาของเราเอง โดยไม่จำเป็นต้องอาศัยเชื่อจากใครๆทั้งสิ้น เหมือนการที่เราจะเข้าใจได้ว่า เมื่อเป่าเทียนดับ แล้วไฟเทียนนั้นหายไปไหน หรือเหมือนกับเราเข้าใจได้ว่า เมื่อเราปิดโททัศน์ แล้วภาพและเสียงของโทรทัศน์นั้นหายไปไหน ซึ่งเราก็เข้าใจอยู่ว่า ไฟเทียนและภาพกับเสียงของโทรทัศน์นั้น มันเป็นสิ่งที่ถูกปรุงแต่งหรือสร้างขึ้นมาจากเหตุและปัจจัยเท่านั้น เมื่อเหตุหรือปัจจัยของมันได้หายไป ทั้งไฟเทียนและภาพกับเสียงของโทรทัศน์ จึงต้องพลอยหายตามไปด้วยทันที คือไฟเทียนนั้นก็ต้องอาศัยไฟจากไม้ขีดมาเป็นเหตุ
และอาศัยเนื้อเทียนไส้เทียน ออกซิเจนมาเป็นและปัจจัย
จึงปรุงแต่งให้เกิดไฟเทียนนั้นขึ้นมาได้ เมื่อขาดปัจจัย เช่น
เนื้อเทียนถูกเผาไหม้หมด หรือไม่มีออกซิเจน ไฟเทียนนั้นก็จะดับหายไปทันที
หรืออย่างเช่นภาพและเสียงจากโทรทัศน์นั้นก็มีคลื่นสัญญาณเฉพาะของโทรทัศน์มาเป็นเหตุ
และมีเครื่องรับโทรทัศน์กับมีไฟฟ้ามาเป็นปัจจัย
จึงปรุงแต่งให้เกิดภาพและเสียงจากโทรทัศน์ขึ้นมาได้ เมื่อไม่มีคลื่นสัญญาณ
หรือไม่มีไฟฟ้า หรือเครื่องรับโทรทัศน์นั้นเสียหาย
ภาพและเสียงจากโทรทัศน์นั้นก็จะดับหายไป (ในกรณีที่เครื่องเปิดอยู่ก่อน)
หรือไม่เกิดขึ้นมาได้ (ในกรณีที่ยังไม่ได้เปิดเครื่อง)
และแม้คลื่นสัญญาณของโทรทัศน์นั้น
ก็ยังเป็นสิ่งที่ต้องอาศัยเครื่องส่งสัญญาณและไฟฟ้ามาเป็นเหตุและปัจจัยมาปรุงแต่งให้เกิดขึ้นมาอีกทีหนึ่งด้วยเหมือนกัน
ถ้าเครื่องส่งสัญญาณเสียหาย หรือไม่มีไฟฟ้ามาหล่อเลี้ยงเครื่องส่งสัญญาณ
คลื่นสัญญาณโทรทัศน์นั้นก็จะดับหายไปหรือไม่เกิดขึ้นมาได้ เป็นต้น
พระพุทธเจ้าสอนให้เราพิจารณาโดยใช้เหตุผลจากสิ่งที่เรามีอยู่จริงในปัจจุบันว่า
ชีวิตของคนเรานี้ประกอบขึ้นมาจากธาตุ (สิ่งที่มีอยู่จริงตามธรรมชาติ) ๖ อย่าง คือ ของแข็ง ของเหลว
ความร้อน ก๊าซ ที่ว่าง (สุญญากาศ) และวิญญาณ (การรับรู้ที่ต้องอาศัยระบบประสาททั้ง ๖ ของร่างกาย คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ เพื่อเกิดขึ้นมา)
ที่มาปรุงแต่งให้เกิดเป็นร่างกายและจิตใจ (หรือขันธ์ ๕) ขึ้นมา
คือของแข็ง
ของเหลว ความร้อน และก๊าซ
นี้ก็ปรุงแต่งให้เกิดเป็นร่างกาย (รูป) ขึ้นมา แล้วร่างกายนี้ก็ต้องอาศัยที่ว่าง
(สุญญากาศ) เพื่อตั้งอยู่
ซึ่งร่างกายที่ยังเป็นๆอยู่นี้ก็จะมีระบบประสาทที่ปรุงแต่งให้เกิดวิญญาณ (การรับรู้)
ขึ้นมาตามระบบประสาททั้ง ๖ ได้
ซึ่งวิญญาณนี้เองที่เมื่อเกิดขึ้นมาเมื่อใด
มันก็จะมารับรู้สิ่งต่างๆทางระบบประสาทที่มันเกิดขึ้นมา
แล้วมันก็จะเกิดความรู้สึกต่อสิ่งที่มันรับรู้นั้นด้วยเสมอ (เวทนา)เมื่อมันเกิดความรู้สึกแล้ว มันก็จะจำสิ่งที่มันรู้สึกนั้นได้ (สัญญา)
ทันที เมื่อมันจำได้แล้วมันก็จะนำเอาสิ่งที่มันจำได้นั้นมาปรุงแต่งเป็นความพอใจบ้าง
ไม่พอใจบ้าง หรือความยึดถือว่ามีตัวเองบ้าง หรือความคิดต่างๆบ้าง (สังขาร) เป็นต้น
ขึ้นมาทันที ซึ่งอาการนี้เองที่เราสมมติเรียกว่า จิต หรือ ใจ
เมื่อร่างกายยังเป็นๆอยู่และระบบประสาททั้ง
๖ ยังทำงานอยู่ ก็เรียกว่ายังมีชีวิตจิตใจอยู่ หรือยังไม่ตาย
แต่เมื่อร่างกายเสียหาย หรือตาย ก็จะทำให้ระบบประสาททั้ง ๖
พลอยเสียหายตามไปด้วยทันที เมื่อระบบประสาททั้ง ๖ เสียหาย ก็จะทำให้ไม่มีวิญญาณ
(การรับรู้) เกิดขึ้นมาที่ระบบประสาททั้ง ๖ได้ เมื่อไม่มีวิญญาณ ก็จะทำให้เวทนา
สัญญา และสังขาร พลอยไม่เกิดขึ้นมาด้วย คือเรียกง่ายๆว่า
เมื่อไม่มีร่างกายเสียอย่างเดียว
จิตใจที่รู้สึกว่ามีตัวเราอยู่นี้ก็จะพลอยไม่มีตามไปด้วยทันที
สรุปได้ว่า
ถ้าเราจะเข้าใจถึงระบบพื้นฐานของทุกชีวิตว่า ทุกสิ่งที่เกิดขึ้น คือทั้งร่างกายและจิตใจ
ล้วนจะต้องอาศัยสิ่งอื่นๆมาเป็นเหตุและปัจจัยมาปรุงแต่งให้เกิดขึ้นทั้งสิ้น
ไม่มีสิ่งใดที่จะเกิดขึ้นมาได้เองลอยๆโดยไม่อาศัยเหตุและปัจจัย
เราก็จะเข้าใจได้ทันทีว่า ชีวิตของเรานี้มันเป็นเพียงสิ่งที่ถูกปรุงแต่ง
(หรือสร้างหรือประกอบ) ขึ้นมาเพียงชั่วคราวเท่านั้น
จึงเท่ากับจะหาสิ่งที่เป็นตัวตนของเราเองจริงๆ (ชนิดที่จะตั้งอยู่อย่างเป็นอมตะ)
นั้นไม่มี (ที่เรียกว่าสุญญตา) เมื่อเหตุหรือปัจจัยของมันเสียหายไป เช่นขาดอาหาร
หรือน้ำ หรือออกซิเจน ร่างกายก็จะแตกสลายหรือตาย เมื่อร่างกายตาย ก็จะทำให้จิตใจพลอยดับหายตามไปด้วยทันที
ซึ่งนี่คือความจริงของทุกชีวิตที่เราสามารถใช้เหตุผลจากสิ่งที่เรามีอยู่จริงในชีวิตของเรามาพิจารณา
ก็จะทำให้เราเกิดความเข้าใจอย่างแจ่งแจ้งในชีวิต (คือร่างกายและจิตใจ)
ของเราและทุกชีวิตได้ อันจะทำให้เราเกิดความเข้าใจเรื่องภายหลังความตายของร่างกายได้ด้วยสติปัญญาของเราเองโดยไม่ต้องพิสูจน์
และเป็นความเข้าใจที่ไม่มีทางจะผิดพลาดได้เลย
ซึ่งความเข้าในนี้เองที่เป็นปัญญาของอริยมรรค ที่เมื่อนำมาร่วมกับศีลและสมาธิ
ก็จะใช้ดับทุกข์ของจิตใจในปัจจุบันตามหลักอริยสัจ ๔ ของพระพุทธเจ้าได้
เตชปญฺโญ ภิกขุ. ๑๙
กรกฎาคม ๒๕๕๕
|