สิ่งมหัศจรรย์ที่สุดในจักรวาล

        ความมหัศจรรย์ก็คือ ความแปลกประหลาด, ความน่าพิศวง, ความลี้ลับ ซึ่งมนุษย์เรานั้นเมื่อได้พบกับสิ่งที่แปลกประหลาดที่ไม่เคยได้พบเห็นมาก่อน ก็จะเกิดก็จะเกิดความรู้สึกทึ่งหรืออัศจรรย์ใจขึ้นมาทันที แต่ถ้าได้พบเห็นสิ่งที่แปลกประหลาดนั้นบ่อยๆ ความทึ่งหรือความอัศจรรย์ใจนั้นก็จะค่อยๆลดน้อยลงจนเห็นเป็นของธรรมดาไปในที่สุด อย่างเช่น คนที่ไม่เคยได้พบเห็นหรือรู้จักคอมพิวเตอร์มาก่อน เมื่อได้รู้จักคอมพิวเตอร์ครั้งแรกก็จะเกิดความทึ่ง หรือความอัศจรรย์ใจอย่างยิ่งที่คอมพิวเตอร์สามารถทำในสิ่งที่เขาไม่สามารถทำได้ หรือไม่คาดคิดว่าคอมพิวเตอร์จะทำสิ่งที่ยากๆได้อย่างรวดเร็วได้ แต่เมื่อเขาได้รู้จักกับคอมพิวเตอร์บ่อยๆเข้า เขาก็จะเกิดความคุ้นเคยและเห็นคอมพิวเตอร์เป็นของธรรมดาที่ไม่น่าอัศจรรย์ไปในที่สุด หรือเมื่อเราได้พบเห็นพืชหรือสัตว์ที่มีความสามารถพิเศษที่เราไม่คิดว่ามันจะทำได้ เราก็จะเกิดความทึ่งหรืออัศจรรย์ใจขึ้นมาทันที แต่เมื่อเราได้พบเห็นความสามารถพิเศษนั้นบ่อยเข้า เราก็จะเกิดความชินชาและมองว่าความสามารถพิเศษนั้นเป็นสิ่งธรรมดาไปในที่สุด เป็นต้น

        สิ่งที่เรามักจะเห็นว่าเป็นสิ่งน่าอัศจรรย์นั้นก็มีมาก อย่างเช่น ระบบการทำงานของร่างกายของมนุษย์ สัตว์ พืช, ระบบกลไกลของเครื่องจักรสมัยใหม่, ระบบการทำงานของเครื่องใช้ไฟฟ้าชนิดต่างๆ,ระบบการทำงานของสมองกลไฟฟ้า, วิธีการดำรงชีวิตของสิ่งที่มีชีวิตทั้งหลาย, เรื่องทางวัตถุที่นักวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ค้นพบ, เรื่องการเดินทางไปนอกโลกของมนุษย์, หรือแม้แต่เรื่องต่างๆนอกโลกที่มนุษย์ค้นพบ เป็นต้น แต่สิ่งที่เราเห็นว่าเป็นสิ่งมหัศจรรย์เหล่านี้มันเทียบไม่ได้เลยกับสิ่งมหัศจรรย์ที่สุดในจักรวาลหรือในเอกภพนี้ ซึ่งสิ่งมหัศจรรย์ที่สุดในจักรวาลนั้นก็คือจิตของเรานี่เอง ที่มันสามารถรับรู้สิ่งต่างๆได้ สามารถรู้สึกต่อสิ่งที่รับรู้นั้นได้ สามารถจดจำสิ่งที่รู้สึกนั้นได้ และสามารถปรุงแต่งให้เกิดความคิดและความอยาก รวมทั้งสามารถปรุงแต่งให้เกิดความรู้สึกว่ามีตัวเราขึ้นมาได้

        ทำไมจึงกล่าวว่าจิตเป็นสิ่งมหัศจรรย์ที่สุดในจักรวาล? ก็เป็นเพราะจิตนี้มันเป็นสิ่งแปลกประหลาดที่สุด น่าทึ่งที่สุด น่าพิศวงที่สุด ที่มันสามารถรับรู้สิ่งต่างๆได้, รู้สึกต่อสิ่งที่รับรู้นั้นได้, จดจำสิ่งที่รู้สึกนั้นได้, ปรุงแต่งให้เกิดความคิดและความอยากขึ้นมาได้, รวมทั้งยังปรุงแต่งให้เกิดความรู้สึกว่ามีตัวเองขึ้นมาได้ ซึ่งสิ่งต่างๆทั้งหลายภายนอกร่างกายนั้น แม้ว่ามันจะมีความมหัศจรรย์มากมายสักเพียงใดก็ตาม แต่มันก็ยังมหัศจรรย์ไม่เท่าจิตที่ไปรับรู้ความมหัศจรรย์นั้น คือสิ่งต่างๆของจักรวาลนี้มันก็มีความมหัศจรรย์ของมันแต่ละสิ่งอยู่แล้วในตัวของมันเอง แต่สิ่งที่มหัศจรรย์ที่สุดก็คือสิ่งที่สามารถไปรับรู้สิ่งมหัศจรรย์ทั้งหลายได้นั่นเอง

        ทำไมจิตจึงมองไม่เห็นว่าตัวเองเป็นสิ่งมหัศจรรย์? ก็เพราะมันคุ้นเคยหรือได้รู้จักกับตัวเองมามากจนชินชาแล้ว จึงทำให้จิตมันไม่เกิดความอัศจรรย์ใจ หรือทึ่ง หรือน่าพิศวงในตัวของมันเอง คือเรียกว่าจิตก็มองตัวเองว่าเป็นของธรรมดาๆอย่างนี้เอง ไม่เห็นจะน่าแปลประหลาดตรงไหน มันก็เป็นแค่นี้ คือรับรู้ได้, รู้สึกได้, จดจำได้, ปรุงแต่งคิดนึกได้, รู้สึกว่ามีตัวเองได้ แต่ถ้ามีคนมาบอกว่ามีจิตที่สามารถออกจากร่างกายได้ แล้วไปเที่ยวดูสิ่งต่างๆในที่ไกลๆได้ หรือมีจิตที่มีพลังอำนาจสามารถยกสิ่งของหนักๆได้ หรือสร้างสิ่งต่างๆขึ้นมาได้ หรือทำลายสิ่งต่างๆได้ หรือควบคุมจิตผู้อื่นได้ หรือล่วงรู้อดีตและอนาคตได้ เป็นต้น อย่างที่เราเคยดูในโทรทัศน์หรือภาพยนตร์มาก่อน อย่างนี้เราจึงจะบอกว่ามันมีความมหัศจรรย์มาก ซึ่งลักษณะอย่างนี้ยังเป็นแค่คำเล่าลือ ที่ไม่เคยมีใครเคยมาพิสูจน์ให้เราพบเห็นได้จริงเลย ซึ่งบางคนก็เชื่อว่ามันมีจริงและเห็นว่ามันเป็นสิ่งมหัศจรรย์ที่สุด

        ร่างกายของมนุษย์เรานี้เมื่อเราได้ศึกษามันอย่างละเอียดแล้ว เราก็จะพบกับระบบการทำงานของอวัยวะต่างๆที่น่าอัศจรรย์ ที่เราก็ไม่สามารถไปล่วงรู้ได้เลยว่ามันเป็นอย่างนี้ได้อย่างไร? แต่เราก็ชินชาอยู่กับร่างกายนี้มานานแล้ว ดังนั้นเราจึงมองไม่เห็นความน่าอัศจรรย์ของระบบการทำงานต่างๆของร่างกายเราเอง แต่ถ้ามีคนมาบอกว่ามีคนที่เขาเหาะเหินเดินอากาศได้โดยไม่ใช้อุปกรณ์ใดๆช่วย หรือมีพลังสามารถยกสิ่งของที่หนักมากๆที่คนธรรมดาไม่สามารถยกได้ หรือมีคนที่เดินทะลุกำแพงได้ หรือหายตัวได้ เป็นต้น อย่างนี้ เราจึงจะเห็นว่าร่างกายเป็นสิ่งที่น่าอัศจรรย์  ซึ่งลักษณะอย่างนี้ก็ยังเป็นแค่คำเล่าลือ ที่ไม่เคยมีใครเคยมาพิสูจน์ให้เราพบเห็นได้จริงเลย  จะมีก็แต่พวกมายากลเท่านั้นที่แสดงมายากลตบตาหลอกเราได้ แต่บางคนก็ยังเชื่อว่ามันมีจริงและเห็นว่ามันเป็นสิ่งมหัศจรรย์ที่สุด

        แม้ร่างกายของมนุษย์เราจะมีความน่าอัศจรรย์อย่างยิ่งแล้ว แต่จิตที่เกิดขึ้นตามระบบประสาทของร่างกายนี้ยังมีความน่าอัศจรรย์ยิ่งกว่ามากมายนัก แม้เนื้อสมองจะเป็นสิ่งมหัศจรรย์ที่มันสามารถบันทึกข้อมูลจนทำให้เกิดเป็นความจำขึ้นมาได้ แต่จิตที่คิดนึกได้หรือปรุงแต่งให้เกิดทั้งความรู้สึกว่ามีตัวเราและเกิดความยึดถือว่ามีตัวเราขึ้นมาจนเกิดเป็นความทุกข์ได้นี้ กลับยิ่งมีความมหัศจรรย์ยิ่งกว่าอีก

        ทำอย่างไรเราจึงจะมองเห็นความมหัศจรรย์ของจิต? เมื่อเรารู้สึกหรือพบเห็นจิตของเราเองมาจนชินชา จึงทำให้เรามองเห็นจิตเป็นของธรรมดาๆ แล้วก็ไม่ได้สนใจที่จะศึกษามัน ซึ่งนี่ก็คือความโง่ที่ลึกซึ้งที่สุดของจิตที่มันมาปิดบังจิตเอาไว้ไม่ให้มองเห็นความน่าอัศจรรย์ที่สุดของตัวมันเอง เพราะถ้าไม่มีความโง่นี้มาปิดบังจิตเอาไว้ จิตก็จะมาสนใจศึกษาตัวมันเอง จนพบความจริงสูงสุดในตัวจิตเอง แล้วจิตก็จะพบว่าตัวของมันเองนี้มีความน่าอัศจรรย์ที่สุดในจักรวาล

        ความจริงสูงสุดของจิตคืออะไร? ความจริงสูงสุดของจิตก็คือความจริงที่ว่า จิตนี้ไม่ได้มีตัวตนที่เป็นอิสระของตนเองเลย หรือจิตไม่ได้มีตัวตนเป็นของตนเองโดยที่ไม่ต้องอาศัยสิ่งอื่นเพื่อมาปรุงแต่งมันขึ้นมาเลย คือจิตจะต้องอาศัยร่างกายที่ยังเป็นๆอยู่มาปรุงแต่งขึ้นมา ดังนั้นถ้าไม่มีร่างกายที่ยังเป็นๆอยู่ จิตก็จะไม่มี ซึ่งนี่ก็เป็นไปตามกฎสูงสุดของธรรมชาติที่ว่า “ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นมา จะต้องอาศัยเหตุและปัจจัย (ปัจจัยคือเหตุย่อยๆที่มีหลายเหตุ) เพื่อมาปรุงแต่งให้เกิดขึ้นมา” ซึ่งนี่ก็แสดงถึงว่า จิตนี้ก็ขึ้นอยู่กับร่างกาย เมื่อมีร่างกาย จิตจึงจะมี ถ้าไม่มีร่างกาย จิตก็จะไม่มี และเมื่อร่างกายก็จะต้องตายไปในที่สุด ไม่มีร่างกายใดที่จะตั้งอยู่ได้อย่างเป็นอมตะ ดังนั้นจิตที่อาศัยร่างกายเกิดขึ้นมาจึงต้องดับหายตามร่างกายไปด้วย ซึ่งนี่ก็แสดงถึงความไม่เที่ยงแท้ถาวร หรือความไม่เป็นอมตะของจิต (อมตะ แปลว่า ไม่ตายอย่างเด็ดขาด หรือจะเป็นอยู่อย่างถาวร หรือจะมีอยู่ไปชั่วนิรันดร)   

        จากความจริงที่ว่าจิตไม่เที่ยงแท้ถาวร หรือไม่เป็นอมตะนี้เอง ก็ทำให้เราเข้าใจได้ว่า แม้ความรู้สึกว่าจิตนี้คือตัวเราก็มีความไม่เที่ยงแท้ถาวร หรือไม่เป็นอมตะ หรือไม่สามารถที่จะมีอยู่อย่างนี้ไปชั่วนิรันดรได้ไปด้วย ซึ่งนี่ก็เท่ากับว่า ความรู้สึกว่ามีตัวเรานี้มันก็ไม่ได้มีอยู่จริงๆเลย มันจะมีอยู่เพียงชั่วคราวเท่านั้น หรือเท่ากับจิตหรือความรู้สึกว่ามีตัวเรานี้มันเป็นมายา (ของหลอกลวง) ที่มันหลอกตัวเองว่ามีอยู่จริง หรือหลอกว่าจะมีอยู่ไปชั่วนิรันดร

        จากความรู้ว่า “แท้จริงมันไม่ได้มีตัวเราอยู่จริง” นี้เองที่เรียกว่าเป็นปัญญาสูงสุดหรือความรอบรู้สูงสุด ที่มีประโยชน์ที่สุด เพราะความรู้นี้เองที่เมื่อมีสมาธิมาประกอบก็จะทำให้จิตลดละหรือปล่อยวางความยึดมั่นถือมั่นว่ามีตนเอง (หรือความยึดมั่นถือมั่นว่ามีตัวเรา) ลงได้ เมื่อไม่มีความยึดมั่นถือมั่นว่ามีตัวเรา ความทุกข์ของจิตที่เกิดมาจากความยึดมั่นถือมั่นว่ามีตัวเรานี้ก็จะไม่มีตามไปด้วย ซึ่งนี่ก็คือประโยชน์สูงสุดจากการได้รู้เรื่องว่าจิตนี้เป็นสิ่งที่ธรรมชาติปรุงแต่งขึ้นมาชั่วคราวเท่านั้น

        สรุปได้ว่า จิตนี้แม้มันจะมีความน่าอัศจรรย์อย่างที่สุดก็ตาม แต่มันก็เป็นแค่เพียงสิ่งที่ธรรมชาติสร้างสรรค์หรือปรุงแต่งขึ้นมาเพียงชั่วคราวเท่านั้น ไม่สามารถที่จะมีอยู่หรือตั้งอยู่อย่างถาวรหรือเป็นอมตะได้ ดังนั้นเราจึงไม่ควรมายึดถือว่าจิตนี้คือตัวเราหรือของเรา ถ้าจิตใดโง่ไปยึดถือเข้า จิตนั้นก็จะเป็นทุกข์ไปฟรีๆโดยไม่ได้อะไร แต่ถ้าจิตใดมีปัญญาและไม่มีความยึดถือว่ามีตัวเองเกิดขึ้น จิตนั้นก็จะไม่เป็นทุกข์ เมื่อจิตไม่มีทุกข์ จิตก็จะพบกับความสงบเย็น (หรือนิพพาน) อันเป็นสิ่งที่มีคุณค่าสูงสุดสำหรับจิตได้.

เตชปญฺโญ ภิกขุ   ๑๘ ต.ค. ๒๕๕๔

อาศรมพุทธบุตร เกาะสีชัง ชลบุรี

(ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้จาก www.whatami.net )

*********************