เราเคยได้ยินได้ฟังกันมานานแล้วว่า สิ่งพระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้หรือค้นพบก็คืออริยสัจ ๔ ซึ่งอริยสัจ ๔ นี้ก็คือ หลักในการดับทุกข์ของจิตใจมนุษย์ในปัจจุบัน หรือเรื่องว่า ทำอย่างไรชีวิตของมนุษย์เราในปัจจุบัน จึงจะมีความทุกข์ทางจิตใจน้อยที่สุด หรือไม่มีเลยอย่างถาวรได้? ซึ่งวิธีการดับทุกข์ของพระพุทธองค์นี้ จะเป็นวิธีการเดียวกับวิทยาศาสตร์ในปัจจุบัน คือ ศึกษาอย่างเป็นระบบ, ศึกษาจากสิ่งที่มีอยู่จริง, ใช้เหตุใช้ผลในการศึกษา, และจะเชื่อก็ต่อเมื่อได้พิสูจน์หรือทดลองจนได้รับผลอย่างแน่ชัดแล้วเท่านั้น
หลักอริยสัจ ๔ ของพระพุทธเจ้านี้ แม้จะมุ่งเน้นสอนเรื่องการดับทุกข์ในปัจจุบัน แต่ต่อมาเมื่อพระพุทธองค์ทรงเสด็จดับขันธปรินิพพานไปแล้ว ก็ได้มีการตีความให้ผิดเพี้ยนไปต่างๆนาๆ จนทำให้หลักการดับทุกข์ในปัจจุบันของพระพุทธองค์นี้ไม่สามารถนำมาใช้ดับทุกข์ได้จริง และคำสอนที่ผิดเพี้ยนนี้ก็ได้สืบทอดมาจนถึงรุ่นเราในปัจจุบัน ซึ่งสาเหตุที่ทำให้มีการตีความให้ผิดเพี้ยนไปนั้นก็เป็นเพราะถูกครอบงำจากศาสนาพราหมณ์ ซึ่งหลักของศาสนาพราหมณ์นั้นเป็นหลักไสยศาสตร์ ที่ตรงข้ามกับหลักวิทยาศาสตร์โดยสิ้นเชิง คือกลายเป็นว่าหลักอริยสัจ ๔ นี้เป็นหลักปฏิบัติเพื่อสั่งสมบุญบารมีหรือนิสัยเอาไว้เพื่อให้ครบหรือเต็ม เมื่อเต็มแล้วก็จะได้บรรลุ นิพพาน ซึ่งการปฏิบัติเพื่อสั่งสมนี้จะต้องใช้เวลานานมาก ซึ่งอาจจะต้องตายแล้วกลับมาเกิดเพื่อปฏิบัติใหม่อีกเป็นหมื่นๆชาติ หรือแสนๆชาติก็ได้ ส่วนนิพพานที่เดิมก็หมายถึง ความดับลงของทุกข์ หรือ ความไม่มีทุกข์ ก็ถูกเปลี่ยนความหมายมาเป็น การมีชีวิตที่เป็นอมตะ ที่ไม่ต้องเกิด, แก่, เจ็บ, ตาย อีกต่อไป แต่จะมีชีวิตที่มีแต่ความสุขโดยไม่มีความทุกข์ใดๆเลยอยู่ชั่วนิรันดร ซึ่งนี่เองที่ทำให้หลักอริยสัจ ๔ ของพระพุทธเจ้าหมดความหมายหรือความสำคัญลงไปทันที เพราะนำมาใช้ดับทุกข์ของเราในปัจจุบันไม่ได้เสียแล้ว คือหลักอริยสัจ ๔ กลายเป็นแค่หลักการปฏิบัติเพื่อสั่งสมนิสัยเอาไว้ไปดับทุกข์กันในชาติต่อๆไปเท่านั้น ดังนั้นจึงทำให้ผู้มีปัญญาทั้งหลาย เมื่อมาศึกษาอริยสัจ ๔ ที่ผิดเพี้ยนนี้เข้า จึงเกิดความท้อแท้ว่า ถึงจะปฏิบัติไปก็ไม่มีผลอะไรในปัจจุบัน เพราะต้องรออีกหมื่นชาติ แสนชาติจึงจะได้รับผล นี่เองที่ทำให้ผู้มีปัญญาทั้งหลายจึงไม่สนใจหลักอริยสัจ ๔ ที่ผิดเพี้ยนนี้ จนส่งผลให้คำสอนที่แท้จริงของพระพุทธเจ้าถูกละเลยไม่มีใครสนใจมาศึกษาและปฏิบัติไปในที่สุด ถึงแม้จะยังมีผู้สนใจศึกษาและปฏิบัติหลักอริยสัจ ๔ ที่ผิดเพี้ยนนี้อยู่บ้างในปัจจุบันก็ตาม แต่ก็ศึกษาและปฏิบัติกันอย่างงมงาย และไร้จุดมุ่งหลายที่แท้จริง
เรื่องคำสอนที่จะผิดเพี้ยนนี้ พระพุทธเจ้าก็ทรงทราบดี ดังนั้นพระพุทธองค์จึงได้วางหลักในการค้นหาว่า คำสอนใดเป็นคำสอนที่แท้จริงของพระพุทธองค์เอาไว้เหมือนกัน เพื่อให้ผู้คนที่มาศึกษาจะได้ค้นพบคำสอนที่แท้จริงของพระองค์ได้ (ที่เรียกว่า หลักกาลามสูตร)
แต่ในปัจจุบันพบว่าผู้คนเกือบทั้งหมด ก็ยังไม่เข้าใจในหลักคำสอนที่แท้จริงของพระพุทธองค์ได้ ซึ่งนั้นก็เป็นเพราะสาเหตุ ๓ ประการ คือ
๑. ไม่มีใครสนใจศึกษาคำสอนของพุทธศาสนาอย่างจริงจัง แต่ถึงจะมีคนมาศึกษาจริงจังบ้าง ก็เอาแต่ไปศึกษาเรื่องที่ไม่ควรศึกษา (เรื่องอจินไตย ๔) จึงทำให้หลงทางและวนเวียนอยู่ในความไม่เข้าใจเรื่อยไป
๒. ดื้อรั้นไม่ยอมรับเหตุผล ไม่ยอมรับความจริง คือเมื่อศึกษาเรื่องที่ไม่ควรศึกษาเข้าไปแล้วก็จะเกิดความยึดถือว่านี่คือคำสอนที่แท้จริงของพระพุทธเจ้า แม้ว่าสิ่งที่ยึดถือไว้นั้นจะขาดทั้งเหตุผลที่สมเหตุสมผล และความจริงมารองรับก็ตาม และเมื่อได้พบกับคำสอนที่แท้จริงเข้าก็จึงรับไม่ได้ เพราะมันขัดแย้งหรือตรงข้ามกัน
๓. ไม่มีการพิสูจน์ให้เห็นผลด้วยการทดลองปฏิบัติอย่างจริงจัง คือเรื่องที่ไม่ควรศึกษา(อจินไตย ๔ )นั้น เป็นเรื่องที่ไม่สามารถพิสูจน์ได้ หรือไม่สามารถปฏิบัติได้จริง ดังนั้นจึงไม่มีใครจะมาพิสูจน์ให้เห็นจริงได้ จึงมีแต่เพียงความเชื่อเท่านั้น ส่วนเรื่องที่ควรศึกษา(เรื่องอริยสัจ ๔ หรือเรื่องการดับทุกข์ของจิตใจในปัจจุบัน)นั้น ถึงแม้จะมีใครมาศึกษาอย่างถูกต้องจนเกิดความเข้าใจแล้วก็ตาม แต่ถ้าไม่มีการทดลองปฏิบัติ หรือพิสูจน์ให้เห็นว่าสามารถดับทุกข์ได้จริง (แม้ชั่วคราว) ก็ไม่มีทางจะเกิดความเห็นแจ้งได้
ดังนั้นการที่ใครจะมาศึกษาคำสอนของพระพุทธเจ้าให้เกิดความเข้าใจอย่างถูกต้อง ตลอดจนเกิดความเห็นแจ้งว่าดับทุกข์ได้จริงนั้น จึงต้องมีทั้งความสนใจที่จะมาศึกษาอย่างจริงจัง ไม่ดื้อร้น ยอมรับเหตุผลที่สมเหตุสมผล ยอมรับความจริงที่เกิดขึ้นจริงโดยไม่บิดพลิ้ว และต้องมีการทดลองปฏิบัติ เพื่อพิสูจน์ว่าคำสอนของพระพุทธเจ้านี้ใช้ดับทุกข์ของจิตใจในชีวิตปัจจุบันของเราได้จริง จึงจะทำให้ผู้ศึกษานี้เกิดความเข้าใจตลอดจนเกิดความเห็นแจ้งในคำสอนที่แท้จริงของพระพุทธเจ้าได้ จึงขอฝากให้ทุกคนช่วยกันสนใจศึกษาและทดลองปฏิบัติตามหลักคำสอนของพระพุทธเจ้า เพื่อให้เกิดประโยชน์ทั้งแก่ตนเองและมวลมนุษย์ต่อไป.
|