สันติภาพของโลกอยู่ที่มนุษย์ไม่เบียดเบียนกันเอง, ไม่เบียดเบียนสัตว์, ไม่เบียดเบียนป่าไม้.
การเอาเปรียบผู้อื่น,สังคมอื่น,หรือประเทศชาติอื่น นั่นคือการเบียดเบียนกันเอง.
การทำให้ป่าไม้ ต้นไม้ หรือพืชตายไปโดยไม่จำเป็น นั่นคือการเบียดเบียนป่าไม้.
แม้เราจะไม่ได้ลงมือเบียดเบียนเองก็ตาม แต่เราก็มีส่วนทำให้มีการเบียดเบียนขึ้นได้โดยอ้อม.
การที่เรากินเกิน ใช้เกินนั่นแหละคือการส่งเสริมให้มีการเบียดเบียนโดยอ้อม.
เมื่อมนุษย์ส่วนใหญ่กินเกิน ใช้เกิน ก็ย่อมทำให้เกิดการเบียดเบียนขึ้นอย่างมากมาย.
สงคราม,โรคติดต่อร้ายแรง,ภัยธรรมชาติ,ความอดอยากขาดแคลน ฯลฯ ล้วนเกิดจาก
ที่มนุษย์ส่วนใหญ่กินเกิน ใช้เกินทั้งสิ้น.
เมื่อมนุษย์มีการเบียดเบียนกันน้อย สันติภาพก็จะเห็นได้ลางๆ.
เมื่อมนุษย์มีการเบียดเบียนกันมากขึ้น สันติภาพก็หายไป วิกฤติการณ์ก็เกิดขึ้นมาแทน.
ถ้ามนุษย์ยังไม่หยุดการเบียดเบียนกันอยู่เช่นนี้ต่อไป ความวินาศของมนุษย์ก็อยู่ไม่ไกล.
ทางรอดของมนุษย์จึงมีอยู่หนทางเดียว คือมนุษย์ต้องหยุดการเบียดเบียนทั้งหลายให้มากที่สุด.
ต้องเริ่มที่ตัวเราก่อน การละเว้นความชั่ว ความผิด, เว้นสิ่งเสพติด,เว้นสิ่งฟุ่มเฟือยนั่นเอง คือการหยุด
การเบียดเบียนทั้งหลาย.
การใช้ชีวิตที่เรียบง่าย,ไม่มีส่วนเกินหรือมีน้อยที่สุด,และรักผู้อื่น,ช่วยเหลือผู้อื่น นี่คือหนทาง
สู่สันติภาพที่แท้จริง.
เราต้องช่วยกันปฏิบัติ และช่วยกันเผยแพร่หนทางสู่สันติภาพนี้แก่มวลมนุษย์ด้วยใจบริสุทธิ์.
เมื่อมนุษย์มีใจบริสุทธิ์ มีปัญญาบริสุทธิ์ โลกก็จะบริสุทธิ์ สันติภาพก็จะกลับคืนมาได้เอง.
ถ้ามนุษย์มีใจสกปรก มีปัญญาที่สกปรก ธรรมชาติ(พระเจ้า)ก็จะต้องล้างโลกนี้เสียใหม่ เพื่อกำจัด
ความสกปรกออกไปเสียจากโลก แล้วสร้างโลกที่บริสุทธิ์ขึ้นมาใหม่.
ความเจริญทางวัตถุส่วนใหญ่มีเพื่อการเบียดเบียน ส่วนน้อยมีเพื่อส่งเสริมสันติภาพ.
สันติภาพจึงอยู่ที่ตัวเราก่อน แล้วชวนคนอื่นเดินไปด้วยกัน เราจึงจะมีสันติภาพ ถ้าไม่ทำเช่นนี้ เรา
ก็จะพากันเดินสู่ความวินาศโดยไม่รู้ตัว.
จากจิตใจที่โหยหาสันติภาพ
|