วิกฤติเศรษฐกิจโลกเกิดมาจากอะไร?

ในปัจจุบันโลกกำลังประสบกับปัญหาเศรษฐกิจตกต่ำอย่างมาก ผู้คนในแต่ละประเทศจำนวนมากตกงาน ไม่มีงานทำ ซึ่งแน่นอนว่าจะทำให้ผู้คนที่ตกงานเหล่านี้ต้องประสบกับความเดือดร้อน เพราะไม่มีเงินมาใช้ซื้อหาแม้ปัจจัยพื้นฐานในการดำรงชีวิตของตนเองและครอบครัว บางคนไม่มีอาหารกินต้องไปรับแจกอาหารจากทางราชการหรือจากผู้ใจบุญที่มาช่วยเหลือ บางคนไม่มีที่อยู่อาศัยต้องไปกางเต็นท์นอนตามพื้นที่รกร้างว่างเปล่า และบางคนก็ลักขโมย จี้ปล้นหรือกระทำสิ่งที่ผิดกฎหมายเพื่อให้ได้เงินมาเลี้ยงชีวิต จนเป็นเหตุให้เกิดความเดือดร้อนวุ่นวายขึ้นมาในสังคมในที่สุด

ปัญหาเศรษฐกิจตกต่ำนี้เกิดขึ้นมาจากกอะไร? วิกฤติเศรษฐกิจโลกนี้เกิดขึ้นมาจากการที่ผู้คนจำนวนมากที่ทำงานในโรงงานอุตสาหกรรมตกงาน ซึ่งโรงงานอุตสาหกรรมเหล่านี้ล้วนผลิตสิ่งที่ฟุ่มเฟือยทั้งสิ้น เช่น รถยนต์ เครื่องแต่งตัว เครื่องประดับ เครื่องเล่นต่างๆ อุปกรณ์อิเลคทรอนิคส์ เป็นต้น ซึ่งนี่แสดงถึงว่ามนุษย์นั้นมีความเห็นผิดอย่างมหันต์ ที่ไปลุ่มหลงสิ่งฟุ่มเฟือยกันมากเกินไป หรือเห็นว่าสิ่งฟุ่มเฟือยนั้นมีความจำเป็นมากกว่าสิ่งจำเป็นแก่ชีวิตจริงๆ

เราต้องเข้าใจว่าสิ่งที่จำเป็นแก่ชีวิตอันได้แก่ อาหาร เสื้อผ้า ที่อยู่อาศัย และยารักษาโรค ที่เรียกว่าปัจจัย ๔ นี้ โดยธรรมชาติแล้ว ถ้ามนุษย์ส่วนมากของโลกสามารถผลิตขึ้นได้ด้วยตัวเอง ก็จะไม่ทำให้เกิดความอดอยากขาดแคลนหรือความเดือดร้อนขึ้นมาได้ ซึ่งการผลิตปัจจัย ๔ นี้เราจะเรียกว่าเป็น “เกษตรกรรม” เพราะมีการเพาะปลูกเป็นพื้นฐาน เช่น ทำนา ทำสวน เลี้ยงสัตว์ ประมง เป็นต้น ซึ่งเกษตรกรรมนี้เองที่เป็นรากฐานให้อุตสาหกรรมตั้งอยู่ได้ เพราะผู้คนจำเป็นต้องกินต้องใช้ เมื่อเหลือกินเหลือใช้จึงจะไปซื้อหาสิ่งที่ไม่จำเป็นหรือสิ่งฟุ่มเฟือยของอุตสาหกรรมมาเสพ ถ้าเกษตรกรรมมั่นคงอุตสาหกรรมก็ตั้งอยู่ได้ แต่ถ้าเกษตรกรรมล่มสลาย อุตสาหกรรมก็ย่อมจะล่มสลายตามไปด้วยทันที

เกษตรกรรมนั้นจะเป็นการผลิตในระดับครอบครัวหรือสังคมเล็กๆ และใช้สอยกันเฉพาะภายในครอบครัวหรือในสังคมเล็กๆเสียเป็นส่วนใหญ่ การค้าขายก็ทำแบบแลกเปลี่ยนสินค้าหรือช่วยเหลือกัน ซึ่งก็ทำแบบเอื้ออารีต่อกันจึงทำให้สังคมมีความยั่งยืนมั่นคง ไม่ได้ทำแบบเพื่อให้เกิดความร่ำรวยอย่างอุตสาหกรรม ที่ทำให้คนเห็นแก่ตัวแล้วก็กอบโกยแข่งขันแย่งชิงกันเพื่อความร่ำรวย จนทำให้เกิดปัญหาวิกฤติเศรษฐกิจขึ้นมาในที่สุด

เกษตรกรรมนั้นจะเอื้อแก่ธรรมชาติ เพราะเกษตรกรรมจะช่วยส่งเสริมให้สภาพแวดล้อมหรือธรรมชาติดีขึ้น คือดินดี น้ำดี อากาศดี อุณหภูมิดี แต่อุตสาหกรรมกลับทำลายสภาพแวดล้อมหรือทำลายธรรมชาติ อันได้แก่ป่าไม้ ภูเขา ทะเลเสียหาย แล้วก็ทำให้ดินเสีย น้ำเสีย อากาศเสีย และโลกร้อนขึ้น อีกทั้งยังสร้างมลพิษให้แก่มนุษย์ขึ้นมาอีก เช่น ขยะพิษ สารเคมีเป็นพิษ โรคระบาดร้ายแรง เป็นต้น

เมื่ออุตสาหกรรมเจริญ สภาพแวดล้อมก็เสียหายหนัก ก็ส่งผลให้เกษตรกรรมเดือดร้อน คือการทำเกษตรไม่ได้ผล เพราะไม่มีที่ดินที่เหมาะสมทำกิน ไม่มีน้ำมาใช้ในการเพาะปลูก อากาศเสียและอุณหภูมิที่สูงขึ้นก็ทำให้การเพาะปลูกไม่ได้ผล ผู้คนในภาคการเกษตรส่วนใหญ่ก็เลยจำเป็นต้องละทิ้งการเกษตรแล้วหันเข้ามาทำงานในภาคอุตสาหกรรมแทน แต่เมื่ออุตสาหกรรมล่มสลาย ผู้คนเหล่านี้ก็ลอยเคว้งคว้าง เพราะจะกลับไปสู่ภาคเกษตรกรรมก็ไม่ได้ เพราะไม่มีที่ทำกินบ้าง หรือมีก็ทำกินไม่ได้เพราะภัยแล้งบ้าง หรือทำกินได้แต่ต้องเป็นหนี้จนสิ้นเนื้อประดาตัวก็มี แต่เมื่อจะเดินหน้าต่อในอุตสาหกรรมก็ไม่มีใครจ้าง ซึ่งสภาพแบบนี้มีให้เห็นอยู่ในทุกประเทศที่ละทิ้งเกษตรกรรมแล้วมุ่งเดินสู่อุตสาหกรรมอย่างไม่ลืมหูลืมตา

ในสังคมโลกปัจจุบันที่มนุษย์ส่วนใหญ่มีแต่ความเห็นแก่ตัว และมีแต่การเอารัดเอาเปรียบหรือเบียดเบียนกันในรูปแบบต่างๆนี้ ถ้าใครโง่และยากจนก็จะถูกครอบงำทันที ซึ่งเกษตรกรก็จะอยู่ในจำพวกนี้ ดังนั้นเกษตรกรของโลกจึงค่อยๆล่มสลาย และอุตสาหกรรมที่กำลังจะล่มสลายก็จะยิ่งช่วยให้โลกมีวิกฤติต่างๆเร็วขึ้น การแก้ปัญหาที่ถูกต้องก็คือเราทุกคนต้องพยายามช่วยกันลดอุตสาหกรรมลงให้มากที่สุด แล้วเพิ่มเกษตรกรรมให้มากขึ้น หรือพยายามลดละสิ่งฟุ่มเฟือยลง แล้วหันมาใช้ชีวิตที่เรียบง่ายอย่างที่บรรพบุรุษของเราเคยกระทำกันมาก่อน และมีชีวิตที่สงบสุขกันมาก่อน

แต่ใครเล่าจะยอมลดละสิ่งฟุ่มเฟือย แล้วหันมาอยู่อย่างเรียบง่ายที่ดูว่ายากจนต่ำต้อย เพราะใครๆก็ต่าง “เห็นแก่ตัว” ด้วยกันทั้งนั้น ถ้าให้เราลดละฝ่ายเดียว แต่คนอื่นไม่ยอมลดละ เขาก็อาจจะมาเบียดเบียนเราได้ จึงทำให้ไม่มีใครยอมลดละกันเลย ถ้าเป็นอย่างนี้ก็คงต้องรอให้ธรรมชาติหรือพระเจ้าลงโทษ คือทุกคนต้องประสบกับหายนะหรือความพินาศร่วมกันอย่างเสมอหน้าอย่างไม่มีทางหลีกเลี่ยง

แต่ทุกปัญหามีทางออกเสมอ ยกเว้นแต่ว่าเราจะเดินทางนี้กันหรือไม่เท่านั้น ซึ่งหนทางนั้นก็คือ “การหันมาพยายามลดละความเห็นแก่ตัวของเราทุกคนลง” เมื่อผู้คนไม่เห็นแก่ตัว เขาก็จะลดละความฟุ่มเฟือยลงได้เอง แล้วอุตสาหกรรมก็จะลดลง เกษตรกรรมก็จะเพิ่มขึ้น สังคมก็จะสงบสุข โลกก็จะมีสันติภาพ

ส่วนวิธีการลดละความเห็นแก่ตัวนั้นก็ต้องอาศัยความรู้ และความเข้าใจถึงความจริงแท้ของธรรมชาติว่า “แท้จริงแล้วมนุษย์ทุกคนในโลกคือคนๆเดียวกัน” เมื่อมนุษย์เข้าใจจุดนี้แล้วเขาก็จะรักเพื่อนมนุษย์ทุกคนโดยเสมอหน้าเหมือนกับรักตัวเอง และความเห็นแก่ตัวก็จะลดลงได้เองโดยอัตโนมัติ การศึกษาเพื่อให้เกิดความเข้าใจว่าเราทุกคนคือคนๆเดียวกันนั้น เราก็ต้องอาศัยเหตุผลที่สมเหตุสมผลมาวิเคราะห์ และอาศัยความจริงของธรรมชาติที่เกิดขึ้นจริงๆ ที่เราทุกคนสามารถพบเห็นได้จริงมายืนยัน โดยไม่เอาความเชื่อต่างๆที่เราเคยมีอยู่ก่อนมาขัดขวางการคิดวิเคราะห์นี้

การศึกษานี้ก็คือการพิจารณาถึงความจริงที่ว่า เมื่อมนุษย์ทุกคนเกิดมาใหม่ๆนั้น จิตของทุกคนจะว่างเปล่า หรือบริสุทธิ์เหมือนกันหมดทุกคน คือจะไม่มีความทรงจำหรือความคิด หรือความยึดถือว่าเป็นตัวตนของใครๆทั้งสิ้น ดังนั้นโดยพื้นฐานแล้วทุกๆจิตจะเหมือนกันหมด หรือบริสุทธิ์เหมือนคนๆเดียวกันนั่นเอง แต่ต่อมาจิตทั้งหลายที่บริสุทธิ์นี้ได้มีการรับรู้สภาพแวดล้อมที่แตกต่างกัน และไม่มีสติปัญญามาระวังเพราะไม่มีใครมาสอนความจริงให้รู้ จึงได้เกิดเป็นจิตที่แตกต่างกันขึ้นในภายหลัง เช่น เป็นคนชื่นนั้นนามสกุลนี้ อยู่ประเทศนี้ พูดภาษานี้ เป็นหญิงหรือเป็นชาย เป็นคนโง่หรือคนฉลาด เป็นคนดีหรือคนชั่ว เป็นต้น ซึ่งนี่คือความจริงที่เป็นอยู่จริงที่เราทุกคนสามารถพบเห็นได้จริงโดยไม่มีใครจะโต้แย้งได้

แต่ถ้าเราจะศึกษาให้ลึกเข้าไปอีกเราก็จะพบความจริงสูงสุดที่ว่า “แท้จริงมันไม่มีเราอยู่จริง” คือตามหลักความจริงพื้นฐานของธรรมชาติแล้วเราจะพบว่า ทุกสิ่งต้องเกิดขึ้นมาจากเหตุ คืออะไรๆก็ต้องเกิดขึ้นมาจากเหตุด้วยกันทั้งสิ้น ไม่มีอะไรที่จะเกิดขึ้นมาได้โดยไม่อาศัยเหตุ ดังนั้นก็แสดงให้เราเข้าใจได้ทันทีว่า ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นมาในโลกหรือนอกโลกก็ตาม ล้วนจะหาสิ่งที่จะเป็นตัวตนที่แท้จริง (หรือถาวร หรือเป็นอมตะ) ไม่มี จะมีก็เพียงตัวตนมายาหรือตัวตนชั่วคราวเท่านั้น ซึ่งทั้งร่างกายและจิตใจของมนุษย์ทุกคนก็ล้วนตกอยู่ในลักษณะเช่นนี้ทั้งสิ้น คือไม่มีตัวตนที่แท้จริงเลย และเมื่อเราเข้าใจถึงความจริงสูงสุดนี้แล้ว ก็จะยิ่งทำให้เรา(ตามที่สมมติเรียก)มีความเห็นแก่ตัวลดน้อยลง อีกทั้งยังส่งเสริมให้เข้าใจว่ามนุษย์ทุกคนคือคนๆเดียวกันได้ง่ายขึ้นอีกด้วย

สรุปได้ว่า ถ้ามนุษย์ส่วนใหญ่จะเข้าใจว่า “มนุษย์ทุกคนในโลกคือคนๆเดียวกัน” และ “แท้จริงมันไม่มีเราและใครๆอยู่จริง” ก็จะเป็นการแก้ปัญหาเศรษฐกิจตกต่ำที่ต้นเหตุของมันทันที เมื่อต้นเหตุของมันถูกทำลาย ปัญหาก็จะหายไปได้เอง จึงขอฝากให้ผู้มีปัญญาทั้งหลายมาช่วยกันศึกษาเรื่อง “ทุกคนคือคนๆเดียวกัน” และ “ไม่มีเรา” นี้ให้เข้าใจอย่างถูกต้อง แล้วช่วยกันเผยแพร่แก่เพื่อนมนุษย์ เพื่อกอบกู้โลกให้พ้นจากวิกฤติแล้วกลับมามีสันติภาพที่ยั่งยืนกันต่อไป.

เตชปญฺโญ ภิกขุ
๑๔ มี.ค. ๒๕๕๒
อาศรมพุทธบุตร เกาะสีชัง ชลบุรี
(ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้จาก www.whatami.net)