ทำอย่างไรจึงจะพบคำสอนที่แท้จริงของพระพุทธเจ้า?

หลักคำสอนระดับสูง (ปรมัตถธรรม) ในเรื่องการดับทุกข์ของจิตใจมนุษย์ในปัจจุบัน (หลักอริยสัจ ๔) ของพระพุทธเจ้านั้น ไม่ใช่สิ่งที่เราจะสามารถรู้จักหรือเข้าใจได้อย่างถูกต้องเพียงเพราะว่าฟังจากคนอื่นมา หรืออ่านจากตำราใดๆมา หรือแม้จากการคิดคำนวณด้วยเหตุผลเท่านั้น แต่เราจะรู้จักหรือเข้าใจได้อย่างถูกต้องจากการ “ค้นพบ” ด้วยสติปัญญาของเราเอง  ซึ่งวิธีการที่จะทำให้เราค้นพบคำสอนที่แท้จริงของพระพุทธเจ้าได้อย่างถูกต้องนั้น เราจะต้องใช้เหตุผลจากสิ่งที่เราทุกคนสามารถพบเห็นหรือสัมผัสได้จริงในปัจจุบันนี้มาคิดพิจารณาอย่างละเอียดลึกซึ้ง

โดยจุดเริ่มต้นในการศึกษาคำสอนระดับสูงที่ละเอียดลึกซึ้งของพระพุทธเจ้า ให้เกิดความเข้าใจอย่างถูกต้องนั้น ก่อนอื่นเราจะต้องปล่อยวางความเชื่อถือในตำรา หรือในคำสอนที่ได้ฟังหรือเรียนรู้มาจากคนอื่นทั้งหมดก่อน แล้วใช้หลักวิทยาศาสตร์ในการศึกษา คือตั้งใจศึกษาธรรมชาติที่เกิดขึ้นจริง ที่เราทุกคนสามารถรับรู้หรือสัมผัสได้ในปัจจุบัน โดยใช้เหตุผลในการศึกษา เราจะไม่ใช้การคาดเดาหรือคาดคะเนในการศึกษาอย่างเด็ดขาด   ซึ่งการศึกษาเช่นนี้จะทำให้ไม่มีทางผิดพลาดได้ และเมื่อพร้อมแล้วเราก็มาเริ่มพิจารณาตามหัวข้อทั้ง ๑๐ นี้ไปตามลำดับ พร้อมทั้งถามตัวเองว่า “ยอมรับความจริงเหล่านี้หรือไม่  ดังนี้

๑.    ยอมรับหรือไม่ว่า  “ทุกสิ่ง (ทั้งวัตถุและสิ่งที่ไม่ใช่วัตถุอันได้แก่พวกจิตหรือใจ) ที่เกิดขึ้นและตั้งอยู่ ล้วนจะต้องอาศัยเหตุ (ต้นเหตุ) และปัจจัย (สิ่งสนับสนุน) มาปรุงแต่ง (หรือสร้างหรือประกอบ) ให้เกิดขึ้นและตั้งอยู่ทั้งสิ้น” ?

๒.   ยอมรับหรือไม่ว่า  “ไม่มีสิ่งใดที่จะเกิดขึ้นมาได้เองลอยๆโดยไม่มีเหตุและปัจจัย” ?

๓.   ยอมรับหรือไม่ว่า  “ร่างกายจะต้องอาศัยธาตุดิน (ของแข็ง), ธาตุน้ำ (ของเหลว), ธาตุไฟ (ความร้อน), และธาตุลม (ก๊าซ) มาปรุงแต่งให้เกิดขึ้นและตั้งอยู่” ?

๔.   ยอมรับหรือไม่ว่า  “ร่างกายจะไม่สามารถเกิดขึ้นมาได้เองลอยๆโดยไม่มีเหตุและปัจจัย” ?

๕.   ยอมรับหรือไม่ว่า  “แม้สิ่งที่เป็น ‘จิต’ (สิ่งที่รับรู้, รู้สึก, จำ, และคิดได้) ของเราและสิ่งที่มีชีวิตทั้งหลาย ก็ต้องเกิดขึ้นมาจากเหตุปัจจัย” ?

๖.    ยอมรับหรือไม่ว่า “จิตจะไม่สามารถเกิดขึ้นมาได้เองลอยๆโดยไม่มีเหตุและปัจจัย” ?

๗.   ยอมรับหรือไม่ว่า  “จิตจะต้องอาศัยร่างกาย (คือ ตา, หู, จมูก, ลิ้น, กาย, และใจ-สมอง) ที่ยังไม่ตายมาเป็นเหตุ และอาศัยสิ่งภายนอก (คือ รูป, เสียง, กลิ่น, รส, สิ่งที่มาสัมผัสกาย, และสิ่งที่มาสัมผัสใจ) มาเป็นปัจจัยร่วมกันปรุงแต่งให้เกิดจิตขึ้นมา จิตจึงจะเกิดขึ้นมาได้” ?

๘.   ยอมรับหรือไม่ว่า  “ถ้าไม่มีร่างกายที่ยังไม่ตายจิตก็จะไม่สามารถเกิดขึ้นมาได้” ?

๙.    ยอมรับหรือไม่ว่า  “ทั้งร่างกายและจิตที่รู้สึกว่าเป็น ‘ตัวเรา-ของเรา’ นี้ มันไม่ได้มีอยู่จริง มันเป็นเพียงสิ่งที่ถูก ‘ปรุงแต่ง’ หรือสร้างขึ้นมาชั่วคราวจากเหตุและปัจจัยโดยธรรมชาติเท่านั้น หาได้เป็นสิ่งที่มีอยู่อย่างถาวรหรือเป็นอมตะนิรันดรไม่” ?

๑๐.        ยอมรับหรือไม่ว่า  “ความเชื่อที่ว่า จิต (หรือจะเรียกว่าอะไรก็ตามที่รู้สึกและยึดถือว่าเป็นเรา) ของเราและสัตว์ทั้งหลายนี้เป็นตัวตนที่เป็นอมตะ (คือเชื่อว่าจิตเป็นอัตตา) ที่สามารถออกจากร่างกายที่ตายไปแล้วไปเกิดใหม่ได้อีกเรื่อยไปนั้น เป็นความเชื่อที่ไม่ถูกต้อง” ?

ถ้าใครได้พิจารณาอย่างแยบคาย (คือตั้งใจพิจารณาอย่างละเอียดถี่ถ้วนในทุกแง่ทุกมุม) แล้ว และยอมรับความจริงทั้ง ๑๐ ข้ออย่างไม่มีข้อสงสัย ก็แสดงว่าผู้นั้นได้เริ่มรู้จัก หรือเริ่มเข้าใจคำสอนระดับสูงของพระพุทธเจ้าอย่างถูกต้องแล้ว

แต่ถ้าใครไม่ยอมรับ โดยเฉพาะในข้อที่ ๑๐ ก็แสดงว่าผู้นั้นยังไม่รู้จัก หรือไม่เข้าใจคำสอนระดับสูงที่แท้จริงของพระพุทธเจ้า เขาเพียงได้รู้จักแค่คำสอนระดับต่ำๆ (ศีลธรรม) ของพระพุทธเจ้า ที่ผสมปนเปอยู่กับคำสอนของศาสนาพราหมณ์ (ฮินดู) มาแล้วเท่านั้น.

เตชปญฺโญ ภิกขุ. ๑๕ พ.ย. ๒๕๕๑
อาศรมพุทธบุตร เกาะสีชัง ชลบุรี
(ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้จาก
www.whatami.net )