None finite Verb None finite Verb คือคำกริยาที่มิได้ทำหน้าที่เป็นกริยาจริง แม้จะมีรูปมาจากกริยาก็ตาม แต่กลับทำหน้าที่เป็นนามบ้าง , เป็นคุณศัพท์บ้าง, เป็นกริยาวิเศษณ์บ้าง ,หรือเป็นอื่นใดก็ได้ อันไม่ใช่กริยาแท้. None finite Verb แบ่งออกเป็น 3 ชนิด คือ. 1. Infinitive [ to Verb 1]. 2. Gerund [Verb + ing] 3. Participle [ Verb + ing , Verb 3] · Infinitive คือคำกริยาช่องที่ 1 ที่มี To นำหน้า ทำหน้าที่ได้ 6 อย่างคือ 1. เป็นประธานของกริยาก็ได้ เช่น To walk in the morning is good for health. 2. เป็นกรรมของกริยาก็ได้ เช่น He like to speak English with his friend. 3. เป็นส่วนสมบูรณ์ของกริยาก็ได้ เช่น She has to go now. 4. เป็นคุณศัพท์ขยายนามก็ได้(แต่ต้องเรียงไว้หลังนาม) 5. เมื่อเรียงตามหลังอกรรมกริยา เป็นกริยาวิเศษณ์ของอกรรมกริยาตัวนั้น. 6. เมื่อเรียงตามหลังกริยาวิเศษณ์ หรือคุณศัพท์ ย่อมเป็นกริยาวิเศษณ์ขยายคำที่อยู่หน้ามัน * อนึ่ง ยังมี Infinitive บางตัวที่ไม่ต้องใช้ To นำหน้า เรียกว่า Infinitive with out to ในกรณีที่นำมาใช้ตามหลัง หรือขยายนามที่ตามหลังคำกริยาพิเศษต่อไปนี้ do, does, did , will, would, shall, should, can, could, may, might, must, need, dear ไม่ต้องใช้ to นำหน้า (แต่ถ้าเป็นกริยาพิเศษ is, am, are, was, were, has, have, had, นั้น infinitive ที่ตามหลังต้องใช้ to นำหน้าตลอดไป) และยังมีรายละเอียดอีกมากซึ่งเราควรคั้นคว้าในโอกาสต่อไป. · Gerund คือคำกริยาที่เติม ing แล้วนำมาใช้อย่างนาม(กริยานาม) Verbal noun เช่น Walking, studying etc. ทำหน้าที่ได้ 5 อย่าง คือ 1. ใช้เป็นประธานของกริยาในประโยคก็ได้ เช่น Swimming is a good exercise. 2. ใช้เป็นกรรมของสกรรมกริยาก็ได้ เช่น She remembered seeing me. 3. ใช้เป็นกรรมของบุรพบทได้ เช่น We are found of learning English. 4. ใช้ทำหน้าที่เป็นส่วนสมบูรณ์ของกริยาได้ เช่น His duty is cleaning. 5.ใช้ทำหน้าที่เป็นคำนามผสม(หรือคุณศัพท์) และนิยมใช้ Hyphen (-) มาคั่นไว้เสมอ เช่น Reading-room, Swimming pool etc. * อนึ่งโดยปรกติทั่วๆไปแล้ว Gerund และ Infinitive สามารถใช้แทนกันได้ ในทุกกรณีและมีความหมายเหมือนกัน ทั้งนี้สุดแล้วแต่ผู้ใช้ แต่ยังมีกริยาบางตัวที่มี Gerund และ Infinitive มาเป็นกรรมแล้วจะมีความหมายต่างกันมาก ซึ่งเราควรศึกษากันในภายหลัง.
·Participle คือคำกริยาที่เติม ing บ้าง หรือเป็นรูปกริยาช่อง 3 บ้าง แล้วนำมาใช้ทำหน้าที่อย่างอื่น มิได้ใช้เป็นกริยาจริง แบ่งออกเป็น 3 ชนิด คือ. 1. Present Participle คือกริยาช่องที่ 1 เติม ing แล้วนำมาใช้เป็นครึ่งกริยาครึ่งคุณศัพท์ ได้แก่คำว่า Going, walking, eating, sleeping, coming, etc. ซึ่งมีวิธีใช้ดังนี้. 1. เรียงตามหลัง Verb to be ทำให้ประโยคนั้นเป็น Continuous tense. 2. เรียงไว้หน้านาม เป็นคุณศัพท์ของนามนั้น. 3. เรียงตามหลังกริยา เป็นส่วนสมบูรณ์ของกริยา(มีสำเนียงแปลว่าน่า). 4. เรียงตามหลังกรรมเป็นคำขยายกรรมนั้น. 2. Past Participle คือกริยาช่องที่ 3 ซึ่งอาจมีรูปมทาจากการเติม ed. ก็ได้ หรือมีรูปมาจาก การผันก็ได้ ได้แก่กริยาต่อไปนี้ Walked, slept, gone . ..etc. มีวิธีใช้ดังนี้. 1. เรียงไว้หลัง Verb to have ทำให้ประโยคนั้นเป็น Perfect tense. 2. เรียงตามหลัง Verb to be ทำให้ประโยคนั้นเป็นกรรมวาจก(Passive voice)ตลอดไป. 3. เรียงไว้หน้านามเป็นคุณศัพท์ของนามนั้น. 4. ใช้เป็นส่วนสมบูรณ์ของกริยาได้. 5. ใช้เรียงตามหลังนามก็ได้ แต่ต้องมีบุรพบทวลีมาขยายเสมอ. 3. Perfect Participle คือ Having + Verb 3 เช่น Having finish + Past Simple Tense เป็นต้น ซึ่ง Perfect Participle นี้ ทำหน้าที่เป็นคุณศัพท์ของประธานในประโยคหลัง และต้องมีเครื่องหมาย (,) ด้วย ซึ่งมีหลักการใช้มากมายซึ่งควรศึกษาในภายหลัง. จบเรื่อง Non-finite Verb
Question tagsQuestion tags คือการตั้งคำถามตามประโยคบอกเล่าหรือตามหลังประโยคปฏิเสธ หลักการสร้างประโยค Question tags 1. ใส่เครื่องหมาย Comma (,) ครั่นระหว่างประโยคหน้าและประโยค Question tags 2. ถ้าประโยคท่อนหน้าเป็นประโยคบอกเล่า ประโยค Question tags ที่ตามหลังต้องเป็นคำถามปฏิเสธ. 3. ถ้าประโยคท่อนหน้าเป็นประโยคปฏิเสธ ประโยค Question tags ที่ตามหลังต้องเป็นคำถามธรรมดา 4. ถ้าประโยคท่อนหน้ามีกริยาช่วย 24 ตัว ตัวใดตัวหนึ่งปรากฏอยู่ เมื่อทำเป็นประโยค Question tagsให้ใช้กริยาช่วยตัวนั้นมารทำเป็นประโยคคำถาม. 5. ถ้าประโยคท่อนหน้าไม่มีกริยาช่วย 24 ตัว ตัวใดตัวหนึ่งปรากฏอยู่ เมื่อทำเป็นประโยค Question tagsต่อท้ายให้ใช้ Verb to do มาช่วย. 6. ถ้าประโยคท่อนหน้าเป็น Question tags อะไร ประโยค Question tags ที่ตามหลังก็ต้องใช้ Question tags ในระดับเดียวกันนั้น. 7. ประโยค Question tags ที่ถามเป็นปฏิเสธนั้น ระหว่างกริยาช่วย 24 ตัวกับคำว่า not ต้องใช้รูปย่อเสมอ คือ do not = dont does not = doesnt will not = wont shall not = shant are not = arent etc. *ข้อสังเกต need, dear เมื่อนำมาใช้เป็นกริยาแท้แล้ว จะเอามาตั้งเป็น Question tagsไม่ได้ ต้องใช้ Verb to do มาแทน. *อนึ่ง กริยา Used to เมื่อทำเป็น Question tags ไม่นิยมใช้ used ขึ้นต้นประโยคของมัน แต่นิยมใช้ did มาแทนทุกครั้ง (เช่นเดียวกับ Verb to have ถ้าแปลว่ารับประธาน, ได้รับ โดยมิได้แปลว่า มี).
การใช้ Question tags ตามหลังประโยคคำสั่ง ถ้าประโยคบอกเล่านั้นเป็นประโยคคำสั่ง, คำเตือน, ขอร้อง, เชื้อเชิญ เพื่อให้ประโยนั้นสุภาพยิ่งขึ้น ต้องใช้รูปเดียวคือ.
การใช้ Question tags ตามหลังสำนวน Lets, Let me ประโยค Question tags ยังใช้ตามหลังสำนวน Lets , Let me ที่มีสำนวนการพูดอันหนึ่งสำหรับใช้ชักชวนได้ แต่ต้องใช้รูปเดียวคือ
ถ้าประโยคข้างหน้าขึ้นต้นด้วย Let me ประโยค Question tags ต้องใช้รูปเดียวคือ
การตอบประโยคคำถามที่เป็น Question tags ให้ตอบด้วย Yes, หรือ No เท่านั้นและตอบได้ 2 อย่างคือ 1. ตอบแบบสั้น [Short Answer]. 2. ตอบแบบยาว [long Answer]. ตัวอย่าง : แบบสั้น Yes, I am , No, he isnt. : แบบยาว Yes, I am a student. , No he isnt here. จบเรื่อง Question tags
prefixes and suffixes prefixes แปลว่า อุปสรรค หมายถึงคำที่ใช้เติมเข้าข้างหน้าคำอื่นแล้วทำให้คำเดิมนั้นมีความหมายผิดไปจากเดิม prefixes ที่พบเห็นบ่อยมีอยู่ 10 คำ คือ (1) Un (ไม่) ใช้เติมหน้าคุณศัพท์ (adj.) หรือกริยาวิเศษณ์(adv.) แล้วทำให้คำนั้นมีความหมายตรงข้าม เช่น happy (มีความสุข) ® unhappy (ไม่มีความสุข) wise (ฉลาด) ® unwise (ไม่ฉลาด) suitable (เหมาะสม) ® unsuitable (ไม่เหมาะสม) (2) Im (ไม่) ใช้เติมหน้าคำคุณศัพท์ ( adj.) เท่านั้นแล้วทำให้มีความหมายตรงข้าม เช่น possible (เป็นไปได้) ® impossible (เป็นไปไม่ได้) proper (ถูกต้อง) ® improper (ไม่ถูกต้อง) pure (บริสุทธิ์) ® impure (ไม่บริสุทธิ์) (3) In (ไม่) ใช้เติมหน้าคุณศัพท์ (adj.) เท่านั้น แล้วทำให้มีความหมายตรงข้าม เช่น direct (ตรง) ® indirect (ไม่ตรง) complete (สมบูรณ์) ® incomplete (ไม่สมบูรณ์) expensive (แพง) ® inexpensive (ไม่แพง) (4) Re (อีก) ใช้เติมหน้าคำกริยา หรือคำนามที่มาจากกริยาเท่านั้น แล้วทำให้มีความหมายว่า ทำอีก เช่น write (เขียน) ® rewrite (เขียนใหม่) speak (พูด) ® respeak (พูดอีก) birth (เกิด) ® rebirth (เกิดอีก)
(5) Dis (ไม่) ใช้เติมหน้ากริยา หรือเติมหน้าคุณศัพท์ แล้วทำให้มีความหมายตรงกันข้าม เช่น like (ชอบ) ® dislike (ไม่ชอบ) appear (ปรากฏ) ® disappear(ไม่ปรากฏ) agree (เห็นด้วย) ® disagree (ไม่เห็นด้วย) use (ใช้) ® disuse (เลิกใช้)
(6) Mis (ผิด) ใช้เติมหน้าคำกริยาเท่านั้น แล้วทำให้มีความหมายว่ากระทำผิด เช่น understand (เข้าใจ) ® misunderstand(เข้าใจผิด) spell (สะกดตัว) ® misspell (สะกดตัวผิด) call (เรียก) ® miscall (เรียกผิด)
(7) per (ก่อน) ใช้เติมหน้าคำนาม หรือกริยาให้มีความหมายว่า ก่อนหรือ ทำก่อน เช่น pay (จ่าย) ® prepay (จ่ายล่วงหน้า) history (ประวัติศาสตร์) ® prehistory (ก่อนประวัติศาสตร์)
(8) Tri (สาม) ใช้เติมหน้าคำนาม แล้วทำให้มีความหมายว่าสาม เช่น angle (เหลี่ยม) ® triangle (สามเหลี่ยม) cycle (จักรยาน) ® tricycle (รถสามล้อ)
(9) Bi (สอง) ใช้เติมหน้าคำนาม แล้วทำให้มีความหมายว่าสอง เช่น cycle (จักรยาน) ® bicycle (จักรยานสองล้อ) polar (ขั้วโลก) ® bipolar (มีสองขั้วโลก) sexual (เพศ) ® bisexual (มีสองเพศ) (10) En ใช้เติมหน้าคำนาม หรือคุณศัพท์ให้คำนั้นกลับเป็นกริยา เช่น camp (ค่ายพัก) ® encamp (ตั้งค่าย) sure (แน่ใจ) ® ensure (รับประกัน) large (ใหญ่) ® enlarge (ขยายให้ใหญ่)
Suffix แปลว่า ปัจจัยสำหรับปรุงแต่งคำอื่นให้เป็นนามบ้าง เป็นกริยาบ้าง แล้วมีความหมายเปลี่ยนไป (โดยการเติมข้างหลังคำต่างๆ) ที่พบเห็นบ่อยๆมีอยู่ 8 ตัวคือ. 1. er (ผู้) ใช้เติมข้างหลังกริยา หรือคำนาม ให้หมายถึงบุคคลหรือผู้กระทำ เช่น teach (สอน) ® teacher (ผู้สอน,ครู) run (วิ่ง) ® runner (ผู้วิ่ง) speak (พูด) ® speaker (ผู้พูด) 2. or (ผู้) ใช้สำหรับเติมข้างหลังกริยาอย่างเดียว เช่น act (กระทำ) ® actor (ผู้แสดง) govern (ปกครอง) ® governor (ผู้ปกครอง,ผู้ว่า) direct (ควบคุม) ® director(ผู้อำนวยการ) 3. en (ทำด้วย) ใช้เติมหลังคำนามให้กลายเป็นกริยา เช่น . gold (ทอง) ® golden (ทำด้วยทอง) wood (ไม้) ® wooden (ทำด้วยไม้) light (แสงสว่าง) ® lighten (ทำให้มีแสงสว่าง) 4. ly (อย่าง) ใช้เติมหลังคุณศัพท์ ให้กลายเป็นกริยาวิเศษณ์ เช่น slow (ช้า) ® slowly (อย่างช้า) quick (เร็ว) ® quickly (อย่างเร็ว) happy (มีความสุข) ® happily (อย่างมีความสุข) 5 ful (มี) ใช้เติมหลังนามบ้าง กริยาบ้าง ให้กลายเป็นคุณศัพท์ เช่น . beauty (ความสวย) ® beautiful(มีความสวย) use (ใช้) ® useful (มีประโยชน์) wonder (สงสัย) ® wonderful(ความประหลาดใจ) 6. less (ปราศจาก ไม่มี) ใช้เติมหลังนาม ให้กลายเป็นคุณศัพท์ เช่น... job(งาน) ® jobless (ไม่มีงาน) live (ชีวิต) ® lifeless (ไม่มีชีวิต) could (เมฆ) ® coldness(ปราศจากเมฆ) 7. ness (ความ) ใช้เติมหลังคุณศัพท์ ให้เป็นคำนาม เช่น happy (มีความสุข) ® happiness (ความสุข) light (เบา) ® lightness (ความเบา) soft (นุ่ม) ® softness (ความนุ่ม) 8. y (มี) ใช้เติมหลังคำนาม ให้เป็นคุณศัพท์ เช่น sun (ดวงอาทิตย์) ® sunny (มีแสงแดด) stone (หิน) ® stony (มีหินมาก) storm (พายุ) ® stormy (มีพายุมาก) จบ prefixes an suffixes
Comparison of adjective and adverb Comparison of adjective and adverb คือการเปรียบเทียบนามของ adjective หรือ adverb เพื่อให้รู้ว่านามของ adjective หรือ adverb นั้นมีความเหมือนกัน หรือดีเด่นกว่ากันอย่างไร การเปรียบเทียบ adjective และ adverb มีอยู่ 3 ชนิดคือ 1. การเปรียบเทียบที่เสมอกัน(มีนามแค่ 2 ) 2. การเปรียบเทียบที่สูงกว่า(มีนามแค่ 2 ) 3. การเปรียบเทียบที่สูงที่สุด(มีนามตั้งแต่ 3 ขึ้นไป)
Comparison of adjective การเปรียบเทียบคำคุณศัพท์ Comparison of adjective เป็นการเปรียบเทียบคุณภาพของนามต่อนาม เช่น นายดำต่ำกว่านายแดง 1. การเปรียบเทียบคุณศัพท์ที่เสมอกัน จะใช้รูปดังนี้ as + Adjective + as = แปลว่า เท่ากันกับ หรือ เช่นเดียวกันกับ เช่น as long as , as tall as, as beautiful as , as well as เป็นต้น เช่น This chair is as long as that one. เก้าอี้ตัวนี้ใหญ่เท่ากับตัวนั้น.(Adjective) หมายเหตุ ในประโยคปฏิเสธให้ใช้รูปดังนี้ not so + adjective + as = แปลว่าไม่เท่ากันกับ,ไม่เช่นเดียวกันกับ ตัวอย่างเช่น : This chair is not so big as that one. เก้าอี้ตัวนี้ไม่ใหญ่เช่นเดียวกันกับตัวนั้น(Adjective) : I dont work so hard as you did. ผมไม่ทำงานหนักเช่นเดียวกันกับคุณ.(Adverb) 2. การเปรียบเทียบคุณศัพท์ที่สูงกว่าจะใช้รูปดังนี้ Comparative adjective + than = แปลว่า ....มากกว่า....กว่า เช่น taller than, bigger than, more beautiful than etc. เช่น You are taller than I am. คุณสูงกว่าผม *หมายเหตุ การเปรียบเทียบคุณศัพท์ขั้นกว่านี้ สรรพนามที่อยู่ข้างหลัง ต้องเป็นรูปประธานเสมอ เช่น He is taller than I ( ไม่ใช่ than me), You are cleverer than we.(ไม่ใช่ than us) 3. การเปรียบเทียบคุณศัพท์ขั้นสูงสุด นี้จะใช้สำหรับเปรียบเทียบนามที่มีตั้งแต่ 3 ขึ้นไป(หากมีเพียง 2 ใช้ขั้นกว่ามาเปรียบเทียบ) และยังต้องใช้ the นำหน้าเสมอ โดยใช้รูปดังนี้ the + Superlative adjective = แปลว่า ...ที่สุด เช่น the most beautiful girl, the tallest man , the biggest boy etc. เช่น John is the tallest boy in the class. จอนห์เป็นเด็กที่สูงที่สุดในชั้น(ที่มีอยู่หลายคน). เป็นต้น
หลักการสร้างคำคุณศัพท์ขั้นปกติให้เป็นขั้นกว่าและขั้นสูงสุด - ทำได้โดยการเติมปัจจัย er และ est ดังนี้ ก. เติม er ที่คุณศัพท์ขั้นปกติให้เป็นขั้นกว่า ข. เติม est ที่ที่คุณศัพท์ขั้นปกติให้เป็นขั้นสูงสุด เช่น tall ® taller ® tallest (สูง), small ® smaller ® smallest (เล็ก) เป็นต้น (หลักในการเติม er และ est นั้นมีอยู่หลายข้ออีกทั้งยังมีคุณศัพท์บางคำที่เป็นคำขั้นปกติ ขั้นกว่า และขั้นสูงสุดอยู่แล้วโดยกำเนิด ซึ่งจะไม่กล่าวถึง)
Comparison of adverb การเปรียบเทียบคำกริยาวิเศษณ์ Comparison of adverb เป็นการเปรียบเทียบการกระทำของนามต่อนาม เช่น นายดำเดินเร็วกว่านายแดง 1. การเปรียบเทียบกริยาวิเศษณ์ที่เสมอกัน จะใช้รูปดังนี้ as + Adverb + as = แปลว่า เท่ากัน หรือ เช่นเดียวกัน เช่น He speaks English as well as I do. เขาพูดภาษาอังกฤษได้ดีเช่นเดียวกันกับผม. 2. การเปรียบเทียบกริยาวิเศษณ์ที่สูงกว่าจะใช้รูปดังนี้ Comparative adverb + than = แปลว่า ....มากกว่า....กว่า เช่น He speaks French faster than I do. เขาพูดภาษาอังกฤษเร็วกว่าผม. *หมายเหตุ การเปรียบเทียบกริยาวิเศษณ์ขั้นกว่านี้ สรรพนามที่อยู่ข้างหลัง than นั้นจะใช้รูปประธาน(Subject)ก็ได้ หรือกรรม(Object)ก็ได้ แล้วแต่ใจความ เช่น He loves you more than I. เขารักคุณมากกว่าผม, She loves you more than me. เธอรักคุณมากกว่าผม. 3. การเปรียบเทียบกริยาวิเศษณ์ขั้นสูงสุด นี้จะใช้สำหรับเปรียบเทียบนามที่มีตั้งแต่ 3 ขึ้นไป(หากมีเพียง 2 ใช้ขั้นกว่ามาเปรียบเทียบ) โดยใช้รูปดังนี้ Superlative adverb = แปลว่า ...ที่สุด เช่น Fastest, most slowly, hardest, most beautifully etc . เช่น Of three us, you speak loudest. ระหว่างเรา 3 คนนี้ คุณพูดเสียงดังที่สุด. หลักการสร้างคำกริยาวิเศษณ์ขั้นปกติให้เป็นขั้นกว่าและขั้นสูงสุด - ทำได้โดยการเติมปัจจัย er และ est ดังนี้ ก. เติม er ที่คุณศัพท์ขั้นปกติให้เป็นขั้นกว่า ข. เติม est ที่ที่คุณศัพท์ขั้นปกติให้เป็นขั้นสูงสุด เช่น hard ® harder ® hardest (ยาก, หนัก), fast ® faster ® fastest (เร็ว) (หลักในการเติม er และ est นั้นมีอยู่หลายข้ออีกทั้งยังมีกริยาวิเศษณ์บางคำที่เป็นคำขั้นปกติ ขั้นกว่า และขั้นสูงสุดอยู่แล้วโดยกำเนิด ซึ่งจะไม่กล่าวถึง) จบ Comparison of adjective and adverb
If clause and wish form การใช้ประโยค If clause If clause คือประโยคคะเน หรือประโยคสมมติ คือสมมติว่า ถ้ามีเหตุการณ์นี้เกิดขึ้น ก็จะมีเหตุการณ์เช่นนั้นเกิดขึ้นตามมา แบ่งออกเป็น 3 ชนิดคือ 1. สมมติในสิ่งที่เป็นจริงเสมอ หรือเป็นไปได้เสมอ 2. สมมติในสิ่งที่ไม่เป็นจริง หรืออาจเป็นจริงก็ได้(หากมั่นใจ) 3. สมมติในสิ่งที่ตรงข้ามกับความจริง ประโยค If clause นั้นจะประกอบด้วยประโยค 2 ประโยค คือ 1. ประโยค Main clause (ประโยคหลัก) 2. ประโยค If clause (ประโยคสมมติ) ถ้ามีประโยค If clause แล้วจะต้องมีประโยค Main clause แต่จะใช้ประโยค Main clause อย่างเดียวได้ ซึ่งการสร้างประโยค If clause นี้จะต้องใช้ Tens ให้ถูกต้องดังนี้
ตารางการใช้ Tens ประโยค If clause กับประโยค Main clause
วิธีใช้ 1. เงื่อนไขที่สมมติในสิ่งที่เป็นจริงเสมอ เช่น If the sun rise, it will be a day. ถ้าพระอาทิตย์ขึ้น มันก็จะเป็นกลางวัน (ไม่มีใครคัดค้านได้) อนึ่ง ประโยคคำสั่ง (Imperative) ก็ให้ใช้ประโยค If clause ที่เป็น Present Simple Tens ตลอดไป จะใช้กับ Tens อื่นไม่ได้ เช่น If you see the teacher, ask him that problem. ถ้าคุณพบคุณครู ก็ถามปัญหานั้นกับคุณครูซิ 2. เงื่อนไขสมมติในสิ่งที่เป็นจริงหรือไม่เป็นจริงก็ได้(แบ่งรับแบ่งสู้) เช่น If you came here yesterday, you would see her. ถ้าคุณมาที่นี่เมื่อวานนี้ คุณก็จะได้พบเธอ(หรืออาจไม่พบก็ได้ถ้าเธอกลับไปก่อน) If she were a bird, she would sing all day. ถ้าหล่อนเป็นนก หล่อนก็จะร้องเพลงทุกวัน(เป็นจริงไม่ได้เด็ดขาด) ข้องสังเกต เฉพาะ Verb to be ที่นำมาใช้ในการสมมติในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้นี้ ต้องใช้รูปเดียวคือ were ตลอดไป ไม่ว่าประธานจะเป็นบุรุษอะไร หรือพจน์อะไรก็ตาม 3.เงื่อนไขสมมติในสิ่งที่ตรงข้ามกับความเป็นจริงเสมอ เช่น If he hadnt gone there, he wouldnt have been killed. ถ้าเขาไม่ได้ไปที่นั่น เขาก็จะไม่ถูกฆ่าตาย
การใช้ประโยค Wish form Wish form คือประโยคที่แสดงความปรารถนาหรือความต้องการของผู้พูด ซึ่งความจริงนั้นเป็นอย่างหนึ่ง แต่ผู้พูดอยากให้เป็นอีกอย่างหนึ่ง ซึ่งแบ่งออกเป็น 3 ชนิดคือ 1. ความปรารถนาที่ให้เป็นไปในปัจจุบัน (Present Time) ให้ใช้รูป Wish Form + Past Simple Tens เช่น I am a poor man. I wish I were a rich man. ฉันเป็นคนจน (แต่)ฉันปรารถนาให้ฉันเป็นคนรวย หมายเหตุ ประโยคที่ตามหลัง Wish แม้จะใช้กริยาเป็น Past Simple Tens แต่ความหมายยังเป็นปัจจุบัน อย่าได้เข้าใจว่าเป็นอดีต 2. ความปรารถนาที่ให้เป็นไปในอดีต (Past Time) ให้ใช้รูป Wish Form + Past perfect Tens เช่น I was a poor man last year. I wish I had been a rich man last year. เมือปีที่แล้วฉันเป็นคนจน (แต่ตอนนี้)เมื่อปีที่แล้วฉันปรารถนาให้ฉันเป็นคนรวย. 3. ความปรารถนาที่ให้เป็นไปในอนาคต (Future Time) ให้ใช้รูป Wish Form + Future Simple in the Past เช่น I shall study mathematics tomorrow. I wish I should study English tomorrow. ผมจะเรียนคณิตศาสตร์วันพรุ่งนี้ ผมปรารถนาให้ผมเรียนภาษาอังกฤษวันพรุ่งนี้ หมายเหตุนอกจากกริยา wish แล้วยังมีบางสำนวนที่เมื่อมีประโยคอื่นต่อท้ายจะต้องใช้ Past Simple Tens หรือ Tens อื่นทันที ซึ่งได้แก่คำว่า as if ราวกับว่า (ประโยคหน้าเป็น Present Simple ประโยคหลังเป็น Past Simple) as though ราวกับว่า (ประโยคหน้าเป็น Past Simple ประโยคหลังเป็น Past perfect) if only ถ้าหากว่า, ถ้าเพียงว่า(1.ถ้าประโยคหน้าเป็น Past Simple ประโยคหลังต้องเป็น Future Simple in the Past 2. ถ้าประโยคหน้าเป็น Past perfect ประโยคหลังเป็น Future perfect in the Past ) Its time + Past ถึงเวลาแล้วที่... (ต่อท้ายต้องใช้ Past Simple Tens ) I would rather + Past ผมอยากให้ (ต่อท้ายต้องใช้ Past Simple Tens ) จบ If clause and wish form
active voice and passive voice Active voice คือ ประโยคที่ยกเอาประธานมาเป็นผู้กระทำกริยา เช่น. I wrote a letter yesterday. Passive voice คือประโยคที่ยกเอาประธานมาเป็นผู้ถูกกระทำ เช่น. A letter was written by me yesterday. หลักการเปลี่ยน Active voice เป็น Passive voice 1. เอา Object ใน Active ไปเป็น Subject ใน Passive 2. ใช้กริยา Verb to be ให้ถูกต้องตามพจน์(ประธาน) และ Tens เดิมของ Active 3. กริยาแท้ต้องใช้ตัวเดิมกับ Active แต่ต้องเป็นช่องที่ 3 4. เอา Subject ในประโยค Active ไปเป็นกรรมตามหลังบุรพบท by แล้วนำไปวางไว้หลังกริยาช่องที่ 3 ในประโยค Passive Voice ตัวอย่างเช่น Active : He kicked a football yesterday. Passive : A football was kicked by him yesterday.
โครงสร้างของประโยค Passive voice ทั้ง 12 Tens ในการเปลี่ยน Active ไปเป็น Passive นั้นจะต้องคำนึงถึงเรื่อง Tens เป็นสำคัญ โดยมีหลักในการดังนี้- Present Simple = S + is, am, are V.3 + by Present Continuous = S + is, am, are + being + V.3 + by .. Present Perfect = S + has been, have been + V.3 +by Present Per. Cont. = S + has been, have been + being + V.3 + by .(ไม่นิยมใช้) Past Simple = S + was, were + V.3 + by .. Pas Continuous = S + was being, were being + V.3 + by . Pas Perfect = S + had been + V.3 + by .. Past per. Conti. = S + had been being +V.3 + By ..(ไม่นิยมใช้) Future Simple = S + will be, shall be + V.3 + by .. Future Continuous = S + will be, shall be + being + V.3 + by Future Perfect = S + will have, shall have + been + V.3 +by . Future Per. Conti. = S + will have been being, shall have been being + V.3 + by..(ไม่นิยมใช้)
เมื่อประโยค Active Voice มี Object 2 ตัว ถ้าประโยคมี กรรม (Object) 2 ตัวคือ (1) Direct Object กรรมตรง คือ สิ่งของ (2) Indirect Object กรรมรอง คือ บุคคลอยู่ด้วยกัน นิยมเอากรรมรองคือบุคคลไปเป็นประธานในประโยค หรือจะเอากรรมตรงขึ้นไปเป็นประธานก็ได้ แต่ต้องใส่ to ข้างหน้ากรรมรองคือบุคคลนั้นด้วยเสมอไป เช่น Active : The teacher gave me a book yesterday. Passive : I was given a book by the teacher yesterday. Passive : A book was given to me by the teacher yesterday.
อนึ่ง คำบางคำไม่นิยมนำเอาไปเป็นกรรม (Object) แต่จะละไว้ในฐานะที่เข้าใจกันอยู่แล้ว ซึ่งได้แก่คำว่า Anybody, They, We, People, No one, Someone, Somebody, Anyone, เช่น .. Active : No one likes this picture. ไม่มีใครชอบภาพนี้ Passive : This picture isnt liked. ( no by no one) ภาพนี้ไม่มีใครชอบ
อนึ่ง ถ้าประโยค Active Voice เป็นประโยคคำสั่ง และหากเปลี่ยนเป็นประโยค Passive Voice ให้ทำตามโครงสร้างรูปประโยคดังนี้ Let + Object + Be + Verb 3 เช่น. Active : Open the window. เปิดหน้าต่างด้วย Passive : Let the window be opened. ให้หน้าต่างถูกเปิดด้วย
สรุป 1. ประโยค Passive voice ต้องมี Verb to be อยู่ข้างหน้ากริยาช่อง 3 2. ประโยค Active Voice ที่ไม่มีกรรม (Object) ห้ามนำมาแต่งเป็น Passive voice โดยเด็ดขาด 3. การนำเอา Subject ในประโยค Active มาเรียงตามหลัง by ในประโยค Passive นั้น ถ้าผู้พูดแน่ใจว่าผู้ฟังจะเข้าใจว่าสิ่งนั้นๆถูกใครหรืออะไรทำเช่นนี้ จะใส่ by เข้ามาทุกครั้งที่พูดก็ได้ แต่ถ้ามั่นใจว่าผู้ฟังเข้าใจดีว่าสิ่งนั้นถูกอะไรหรือใครทำเช่นนี้ จะไม่ใส่เข้ามาทุกครั้งที่พูดก็ได้ จบ Active Voice and Passive voice |